การจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ จัดการความเสี่ยง เปรียบเสมือนเกราะป้องกันอันทรงพลัง ที่คอยช่วยให้คุณควบคุมความสูญเสียและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex ทำไมการจัดการความเสี่ยงถึงสำคัญ ก็ด้วยเหตุผล ดังนี้ ตลาด Forex มีความผันผวนสูง การสูญเสียเงินทุนทั้งหมดมีความเป็นไปได้ตลอดเวลา ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงจึงช่วยให้คุณควบคุมการสูญเสียต่อการเทรด และปกป้องเงินทุนของคุณ พร้อมทั้งรักษาสุขภาพจิตที่ดีในการเทรดได้นั่นเอง 7 กลยุทธ์ จัดการความเสี่ยง ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ในการจัดการกับความเสี่ยง กับการเทรด Forex ที่มีประสิทธิภาพ มีวิธีการ 7 กลยุทธ์ ดังนี้ 1. กำหนดเป้าหมายและระดับความเสี่ยง: กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ประเมินระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ ปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยง 2. ใช้ Stop Loss: กำหนดจุด Stop Loss เพื่อจำกัดการสูญเสียต่อการเทรด ปรับระดับ Stop Loss ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์และสภาวะตลาด ใช้ Stop Loss อย่างมีวินัย 3. ใช้ Position Sizing: กำหนดขนาด … [อ่านต่อ คลิก]
Category Archives: ระดับกลาง (Intermediate)
รวบรวมเทคนิค กลยุทธ์ และการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนขึ้น เน้นการพัฒนาทักษะการเทรด การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ และการจัดการความเสี่ยง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาความสามารถในการเทรด
สิ่งที่นักเทรด Forex มืออาชีพต้องทำในฐานะเทรดเดอร์คือการ “บันทึกผลการเทรด” เพราะการบันทึกผลการเทรดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในอาชีพนี้ ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้ ติดตามประสิทธิภาพ: บันทึกผลการเทรด ช่วยให้สามารถติดตามประสิทธิภาพของตัวเองได้อย่างละเอียด ใช้วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนในการเทรด แล้วจะมองเห็นพัฒนาการของตัวเองได้ ประเมินกลยุทธ์ที่ใช้ว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน เรียนรู้จากประสบการณ์: ได้เรียนรู้จากการบันทึกทุกรายละเอียดของการเทรด ได้วิเคราะห์สาเหตุของกำไรและขาดทุน แล้วพัฒนาทักษะการตัดสินใจที่ดีได้ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด แล้วหลีกเลี่ยงการผิดพลาดซ้ำ ๆ ได้ พัฒนากลยุทธ์: เมื่อวิเคราะห์รูปแบบของการเทรด ก็จะสามารถระบุโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างดี สามารถปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดได้ เพิ่มประสิทธิภาพของการเทรดได้ ควบคุมอารมณ์: บันทึกอารมณ์ของตัวเอง แล้ววิเคราะห์อิทธิพลของอารมณ์ต่อการตัดสินใจ ฝึกวินัยในการเทรด โดยควบคุมความรู้สึก หลีกเลี่ยงการเทรดด้วยอารมณ์ พิสูจน์ความสำเร็จ: เมื่อบันทึกผลลัพธ์ของการเทรด ก็จะมีหลักฐานแสดงความสำเร็จของการเทรด ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้ การบันทึกผลการเทรดเปรียบเสมือน “เข็มทิศนำทางสู่ความสำเร็จ” ช่วยให้สามารถพัฒนาตัวเองเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพ ควบคุมอารมณ์ได้ดี และบรรลุเป้าหมายในการเทรด Forex แบบมืออาชีพได้ การบันทึกผลการเทรด วิธีการบันทึกผลการเทรดที่มีประโยชน์ต่อการเทรด Forex มากที่สุดนั้น ให้บันทึกโดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. บันทึกข้อมูลอย่างละเอียด: วันที่และเวลา: บันทึกวันที่และเวลาของทุกการเทรด คู่สกุลเงิน: … [อ่านต่อ คลิก]
แผนการเทรด Forex มันก็เหมือนเข็มทิศที่จะนำทางสู่ความสำเร็จ เป็นตัวช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจอย่างมีระบบ ลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสทำกำไร ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของแผนการเทรด มีดังนี้ 1. เป้าหมายและกลยุทธ์: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการรายได้เสริม หรือสร้างรายได้หลัก เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด บุคลิก และระยะเวลาที่ใช้ กลยุทธ์อาจใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือผสมผสานทั้งสอง 2. การจัดการความเสี่ยง: กำหนดขนาดการเทรดที่เหมาะสม โดยใช้เครื่องมือ Money Management กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit สำหรับทุกออเดอร์ ตั้ง Stop Loss เผื่อไว้สำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด 3. การบันทึกและวิเคราะห์ผล: จดบันทึกการเทรดทุกครั้ง เพื่อติดตามผล วิเคราะห์จุดผิดพลาด และพัฒนาทักษะ วิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ตัวอย่างแผนการเทรด: เป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่การเพิ่มรายได้ 10% ต่อเดือน กลยุทธ์: เทรดแบบสวิงบนคู่เงิน EUR/USD โดยใช้ Moving … [อ่านต่อ คลิก]
ข่าวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาด Forex เพราะสามารถส่งผลต่อราคาของสกุลเงินต่าง ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจ: ข่าวเศรษฐกิจ เช่น ข้อมูล GDP, อัตราเงินเฟ้อ, ตัวเลขการจ้างงาน, หรือยอดค้าปลีก เป็นต้น ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเสถียรภาพของเศรษฐกิจประเทศนั้น ๆ นโยบายการเงิน: ข่าวเกี่ยวกับนโยบายการเงิน เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเป็นต้น ล้วนส่งผลต่อความน่าดึงดูดของสกุลเงินนั้น ๆ เช่นกัน เหตุการณ์ทางการเมือง: ข่าวการเมือง เช่น การเลือกตั้ง, การเจรจาการค้า, หรือสงคราม ล้วนสร้างความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในตลาด Forex ภัยธรรมชาติ: ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวหรือน้ำท่วม ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จนกระทบไปถึงค่าเงินได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่ามีข่าวหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวของราคาคู่เงินในตลาด Forex ดังนั้นการติดตามวิเคราะห์ข่าวย่อมช่วยในการเทรดได้อย่างดี ประเภทของข่าวที่ส่งผลต่อตลาด Forex ประเภทของข่าวที่ส่งผลต่อตลาด Forex จนทำให้เกิดการวิ่งของราคาคู่เงินต่าง ๆ นั้น ที่ส่งผลและต้องจับตามองเป็นพิเศษ มีข่าวดังนี้ ข่าวเศรษฐกิจ: ข้อมูล GDP อัตราเงินเฟ้อ … [อ่านต่อ คลิก]
Market Sentiment ในการเทรด Forex หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดโดยรวม ซึ่งส่งผลต่อทิศทางและความผันผวนของราคา อารมณ์ตลาดจะมีอยู่ 3 รูปแบบคือ ความกลัว: เมื่อนักลงทุนกลัว จะเทขาย ส่งผลให้ราคาลดลง ความโลภ: เมื่อนักลงทุนโลภ จะซื้อ ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น ความสับสน: เมื่อนักลงทุนสับสน ไม่มั่นใจ จะไม่ซื้อหรือขายมากนัก ส่งผลให้ราคาวิ่งในกรอบแคบ ๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Market Sentiment สิ่งที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดอารมณ์ตลาด (Market Sentiment) ในการเทรด Forex มีดังนี้ ข่าวสาร: ข่าวเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน เหตุการณ์ทางการเมือง ภัยพิบัติ ฯลฯ ข้อมูล: ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ สถิติ รายงานการวิเคราะห์ ฯลฯ เทคนิค: กราฟราคา รูปแบบทางเทคนิค อินดิเคเตอร์ ฯลฯ จิตวิทยา: ความกลัว ความโลภ ความหวัง … [อ่านต่อ คลิก]
สภาวะของตลาด Forex การระบุเทรนด์ในตลาด สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่นักเทรดต้องการพิจารณา ปัจจัยที่สามารถช่วยชี้วัดแนวโน้มในตลาด forex เพื่อระบุ Trend นั้น มีดังนี้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการระบุเทรนด์ในตลาด forex โดยนักเทรดจะพิจารณาจากรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา ตัวอย่างวิธีการระบุเทรนด์ในตลาด forex โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ดังนี้ trend line พิจารณาจากเส้นแนวโน้ม: หากเส้นแนวโน้มมีทิศทางขาขึ้น แสดงว่าราคากำลังมีแนวโน้มขาขึ้น support and resistance พิจารณาจากแนวรับและแนวต้าน: หากราคาทะลุผ่านแนวต้านไปได้ แสดงว่าราคากำลังมีแนวโน้มขาขึ้น moving average พิจารณาจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาวขึ้น แสดงว่าราคากำลังมีแนวโน้มขาขึ้น การวิเคราะห์พื้นฐาน การวิเคราะห์พื้นฐานเป็นการพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย ตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น อัตราดอกเบี้ย: หากประเทศใดมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าประเทศอื่น จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจ: หากตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศใดออกมาดี จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น นโยบายการเงิน: หากนโยบายการเงินของประเทศใดผ่อนคลายลง จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นอ่อนค่าลง ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเลือกตั้ง … [อ่านต่อ คลิก]
การเทรด Forex ด้วย Breakout คือ การเทรดที่รอราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง ที่ผ่านการทดสอบมาด้วยระยะเวลาที่นานพอประมาณ Breakout ที่จะเข้าไปทำกำไรได้นั้น มักจะมีคุณสมบัติดังนี้ Breakouts ที่เป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม: Breakout ประเภทนี้ ราคามักจะทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับ หลังจากเคลื่อนไหวในทิศทางเดิมมาเป็นเวลานาน อย่างเช่น ราคาอาจจะวิ่งเป็นขาขึ้นมานาน เคยทะลุผ่านแนวต้านมาแล้วหลายรอบ โดยที่ไม่เคยผ่านแนวรับเลย จนเมื่อไม่อาจวิ่งผ่านแนวต้านได้อีกแต่กลับทะลุผ่านแนวรับได้ นี่คือสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นเอง Breakouts ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลายาวย่อมดีกว่าสั้น: Breakout ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่สั้นกว่า ในขณะที่ Breakout ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลารายวัน อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่ยาวกว่า ดังนั้น โอกาสที่จะทำกำไรดี ๆ จึงมีมากกว่า เห็นได้ว่า Breakouts เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเทรด Forex อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าบางครั้ง Breakout อาจเป็นสัญญาณปลอม (False Breakout) ก็มีได้ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เทคนิคการเทรดด้วย Breakout Breakouts ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร กับการเทรด Forex … [อ่านต่อ คลิก]
Candlestick Pattern คือ รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มของทิศทางราคาที่จะมี “การกลับตัวได้” (Reversal) เป็นรูปแบบกราฟราคาของสินทรัพย์ในแต่ละวัน โดยแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบย่อย ดังนี้ Single Reversal Candlestick Pattern แท่งเทียนแท่งเดียวกลับตัว Two-Candlestick Reversal Pattern แท่งเทียนคู่กลับตัว Three-Candlestick Reversal Pattern แท่งเทียนสามแท่งกลับตัว รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญทั้งหมดนี้ จะช่วยในการวิเคราะห์หาจังหวะที่ราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัวหรือเปลี่ยนทิศทางในระยะใกล้ ๆ นี้นั่นเอง 1. Single Reversal Candlestick Pattern แท่งเทียนแท่งเดียวกลับตัว แท่งเทียนแท่งเดียวกลับตัว (Single Reversal Candlestick Pattern) เป็นรูปแบบแท่งเทียนประเภทหนึ่งที่มีเพียงแท่งเทียนเดียวเท่านั้นก็จะบ่งบอกได้ว่าแนวโน้มเดิมอาจจะจบลงแล้ว รูปแบบแท่งเทียนนี้มักเกิดขึ้นในช่วงที่แนวโน้มกำลังสิ้นสุดลง จะมีอยู่ 3 ชื่อ ดังนี้ Hammer แท่งเทียนค้อน Shooting Star แท่งเทียนดาวตก Doji แท่งเทียนโดจิ Hammer แท่งเทียนค้อน แท่งเทียนค้อน (Hammer) … [อ่านต่อ คลิก]
บอกได้เลยว่ารูปแบบของ Chart Pattern ที่จะได้พบเห็นในกราฟราคานั้น มีมากมายหลายรูปแบบยิ่งนัก หากจะต้องเรียนรู้และจดจำให้ได้ทั้งหมด คงต้องใช้เวลานานโขทีเดียว เราจึงขอยกเอามาเพียง “รูปแบบของ Chart Pattern ที่ต้องรู้” เพื่อเพิ่ม Skill ในการ Trade ให้เทพยิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะมีดังต่อไปนี้ Triangle รูปแบบสามเหลี่ยม รูปแบบสามเหลี่ยม (Triangle) เป็นรูปแบบกราฟที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปในกรอบที่แคบลงเรื่อย ๆ โดย “ราคาจะเคลื่อนไหวขึ้นและลงภายในกรอบสามเหลี่ยม” รูปแบบสามเหลี่ยมสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ 1. Symmetrical Triangle: เป็นรูปแบบสามเหลี่ยมที่สมมาตร รูปแบบนี้มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังพักตัวหรือกำลังสะสมพลังก่อนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ สัญญาณ Reversal Pattern หากราคา Breakout ออกจากกรอบสามเหลี่ยมในทิศทางเดียวกับแนวโน้มก่อนหน้า รูปแบบสามเหลี่ยมจะถือเป็นสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่ง สัญญาณ Continuation หากราคา Breakout ออกจากกรอบสามเหลี่ยมในทิศทางเดียวกับแนวโน้มก่อนหน้า รูปแบบสามเหลี่ยมจะถือเป็นสัญญาณ continuation ที่แข็งแกร่ง 2. Ascending Triangle: เป็นรูปแบบสามเหลี่ยมที่ด้านบนของกรอบสามเหลี่ยมจะสูงขึ้นเรื่อย … [อ่านต่อ คลิก]
เข้าสู่ด่านที่ 2 เราจะยกระดับการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือจะเน้นไปที่การวิเคราะห์หาแนวโน้มโดยใช้ “รูปแบบ Chart Pattern เป็นตัวบ่งชี้” เราจะเรียนรู้ถึงการมองหาทิศทางของราคา Forex ด้วยการใช้กราฟเปล่า ๆ ในการวิเคราะห์เป็นหลัก
นี่คือบทส่งท้ายของ LEVEL 2 “เริ่มก่อร่างสร้างตัว” จะขอกล่าวถึงเทคนิคพิเศษในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาเพื่อ Up Level ด้วยการนำเสนอเพิ่มเติมในเรื่อง “การใช้แท่งเทียนและแนวรับแนวต้านใน การวิเคราะห์ราคา เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่ดีที่สุด” ไปดูกันเลย วิธีดูแท่งเทียนว่ามีความแข็งแกร่งในแนวโน้มที่เป็นอยู่หรือไม่ เคล็ดลับในการอ่านกราฟแท่งเทียน และการแปลความหมายในมุมมองทางเทคนิคของกราฟแท่งเทียนในบทเรียนนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถอ่านกราฟแท่งเทียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง โดยไม่ต้องไปนั่งจำชื่อ Pattern ต่าง ๆ แต่จะเน้นไปที่การทำความเข้าใจและการแปลความหมายกราฟแท่งเทียนมากกว่า ต้องเข้าใจความหมายของกราฟแท่งเทียนก่อน การทำความเข้าใจความหมายของกราฟแท่งเทียน คือการค้นหา “อารมณ์” ของผู้ที่เข้ามาซื้อขายในตลาด ดังนั้นเวลาที่อ่านกราฟแท่งเทียน เราจะสามารถรู้ได้เลยว่า ระหว่างฝั่งซื้อกับฝั่งขายฝั่งไหนมีแรงมากกว่ากัน ฝั่งไหนที่มีความรีบร้อนอยากลงมือซื้อขายมากกว่า เมื่อเราอ่านอารมณ์ของตลาดออกแล้ว เราก็จะสามารถตัดสินใจลงมือเทรดเพื่อให้ได้กำไร มากกว่าโอกาสที่จะต้องขาดทุน สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่ออ่านกราฟแท่งเทียน การอ่านกราฟแท่งเทียน มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจถึงอารมณ์ของนักเทรดที่เข้ามาซื้อขายในตลาด เพื่อที่จะสะท้อนถึงพลังของ Volume ในการซื้อขายนั่นเอง การวิเคราะห์จะพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่าง ดังนี้ 1.สีของแท่งเทียน: โดยทั่วไปแล้วในการบันทึกสีของแท่งเทียนแต่ละแท่ง จะบันทึกหลังจบ Time Frame แต่ละช่วงเวลา ซึ่งมีวิธีการบันทึกสีดังนี้ ถ้าฝั่งซื้อชนะ แท่งเทียนจะเป็นสีเขียว ถ้าฝั่งขายชนะ แท่งเทียนจะเป็นสีแดง ดังนั้น แค่เห็นสีของแท่งเทียนแต่ละแท่ง ก็จะรู้ได้เลยทันทีว่าในช่วงเวลานั้น ๆ … [อ่านต่อ คลิก]
สำหรับ Indicator ที่ให้สัญญาณ Trend Following คือตัวชี้วัดที่สามารถใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคาและหาจุดเข้าและจุดออกของตำแหน่งซื้อขายตามแนวโน้มได้อย่างต่อเนื่องได้ดี ที่นิยมใช้กันมีหลายตัว เช่น Moving Average Parabolic SAR Relative Strength Index (RSI) Stochastics ซึ่ง Indicator Trend Following ที่ยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ ต่างก็มีคุณสมบัติในการให้สัญญาณที่แตกต่างกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือแยกเป็นตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณเร็วและให้สัญญาณช้า นั่นเอง ตัวชี้วัดที่ให้สัญญาณ เร็ว-ช้า สำหรับ Indicator ที่ให้สัญญาณ Trend Following นั้น สามารถแยกออกเป็นสองประเภทตามลักษณะการบ่งชี้ทางสัญญาณว่าพวกไหนแสดงสัญญาณเร็วหรือช้า ดังนี้ Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว Indicator ให้สัญญาณช้า Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว คือ “อินดิเคเตอร์ที่คำนวณจากราคาปัจจุบัน” โดยค่าของ Indicator เหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามการเคลื่อนไหวของราคา ดังนั้นอินดิเคเตอร์เหล่านี้จึงสามารถให้สัญญาณการซื้อขายได้เร็วกว่าพวกที่คำนวณจากราคาในอดีต ได้แก่ Relative Strength Index (RSI): RSI … [อ่านต่อ คลิก]
ในบทความที่แล้ว เราได้เรียนรู้ Indicators Forex ที่เป็นไอเทมเทพในการเทรดไปแล้วทั้งหมด 3 ตัว นั่นก็คือ Fibonacci, Moving Average และ Bollinger Bands ในบทความนี้ เราจะมาต่อกันที่ item เทพตัวต่อไปกันเลยครับ Item 4. MACD ตัวช่วยเก็บ Level กำไร MACD ย่อมาจาก Moving Average Convergence Divergence เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวัดความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น โดยประกอบด้วย เส้น MACD: เป็นเส้นที่เกิดจากการลบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 12 วัน (EMA12) ออกจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 26 วัน (EMA26) เส้น Signal: เป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 9 วัน (EMA9) ของเส้น MACD แท่ง Histogram: เป็นแถบแนวตั้งที่แสดงความแตกต่างระหว่างเส้น MACD และเส้น … [อ่านต่อ คลิก]
ในบทเรียนที่แล้ว เราเรียนเรื่องประเภทของ การเทรด Forex และกราฟประเภทต่าง ๆ กันไปแล้ว ในบทความนี้เราจะมาดูในเรื่องของเครื่องมือ (Indicators) ตัวฮิตๆ ที่เทรดเดอร์นิยมใช้จริงกันบ้างครับ Indicators ที่ใช้ในการวิเคราะห์ Forex คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายของคู่สกุลเงิน เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของราคาในอนาคต Indicators ที่ใช้กันในงานวิเคราะห์ Forex มีอยู่หลายประเภท โดยจะแบ่งตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้ Trend Following Indicators: เป็น Indicators ที่ใช้ในการระบุแนวโน้มของราคา เช่น Moving Average, Parabolic SAR, ADX, RSI, Stochastics Momentum Indicators: เป็น Indicators ที่ใช้ในการวัดระดับโมเมนตัมของราคา เช่น RSI, Stochastics, MACD, CCI Volume Indicators: เป็น Indicators ที่ใช้ในการวัดปริมาณการซื้อขาย เช่น Chaikin Money Flow, … [อ่านต่อ คลิก]
เทรด Forex ควรใช้ Risk to Reward Ratio เท่าไหร่ดี ก่อนที่จะกำหนดว่าเราจะใช้เท่าไหร่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมาทำความเข้าใจเสียก่อน ว่าสิ่งนี้คืออะไร มีความจำเป็นอย่างไรกับการเทรด Risk to Reward Ratio คืออะไร จะอยู่รอดในตลาดได้ยาก ถ้าไม่รู้จัก Risk to Reward Ratio (RRR) คืออัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน ที่เทรดเดอร์จะต้องรู้จักและนำไว้ใช้ เป็นกฎเหล็กประจำใจ ก่อนเทรดจะต้องวิเคราะห์และวางแผนให้ได้ เพราะการเป็นนักลงทุน คงจะไม่ลงทุนได้โอกาสในครั้งนั้น ได้ไม่คุ้มเสีย หรือมีโอกาสที่จะได้กำไรเพียงน้อยนิด แต่แลกกับความเสี่ยง 100% แต่ถ้ารู้จักนำเรื่องของ RRR ไปใช้ แน่นอนว่าไม่ช้าก็เร็ว พอร์ตจะต้องเติบโตได้อย่างแน่นอน ดังนั้น ก่อนเข้าเทรด หรือก่อนที่จะลงทุนอะไรก็ตาม ควรพิจารณา RRR หรืออัตราส่วนความเสี่ยง ต่อผลตอบแทนที่จะได้รับเสียก่อน ว่ามีโอกาสได้คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เสียไปหรือไม่ เพราะไม่เช่นกัน มันคือการขาดทุนในระยะยาวก็ว่าได้ การเทรด Forex ทำไมจะต้องกำหนด RRR … [อ่านต่อ คลิก]