ในบทความที่แล้ว เราได้เรียนรู้ Indicators Forex ที่เป็นไอเทมเทพในการเทรดไปแล้วทั้งหมด 3 ตัว นั่นก็คือ Fibonacci, Moving Average และ Bollinger Bands ในบทความนี้ เราจะมาต่อกันที่ item เทพตัวต่อไปกันเลยครับ
สารบัญบทความ click เพื่อเลือกอ่าน !!
Item 4. MACD ตัวช่วยเก็บ Level กำไร
MACD ย่อมาจาก Moving Average Convergence Divergence เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวัดความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น โดยประกอบด้วย
- เส้น MACD: เป็นเส้นที่เกิดจากการลบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 12 วัน (EMA12) ออกจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 26 วัน (EMA26)
- เส้น Signal: เป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล 9 วัน (EMA9) ของเส้น MACD
- แท่ง Histogram: เป็นแถบแนวตั้งที่แสดงความแตกต่างระหว่างเส้น MACD และเส้น Signal
สัญญาณการซื้อขายจาก MACD
MACD สามารถให้สัญญาณในการเทรด Forex ได้หลากหลายวิธี ดังนี้
1. Trade ตามแนวโน้ม (Trend trading):
สามารถใช้ MACD เพื่อ “ระบุแนวโน้มของราคาและหาจุดเข้าและจุดออกของตำแหน่งซื้อขาย”
-
- หากเส้น MACD อยู่เหนือเส้น Signal และกำลังเพิ่มขึ้น แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจต่อเนื่อง
- หากเส้น MACD อยู่ใต้เส้น Signal และกำลังลดลง แสดงว่าแนวโน้มขาลงอาจต่อเนื่อง
2. Trade สวนแนวโน้ม (Countertrend trading):
สามารถใช้ MACD เพื่อ “ระบุจุดกลับตัวของราคาและหาจุดเข้าของตำแหน่งซื้อขาย”
-
- หากเส้น MACD อยู่เหนือเส้น Signal และกำลังลดลง แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจสิ้นสุดลง
- หากเส้น MACD อยู่ใต้เส้น Signal และกำลังเพิ่มขึ้น แสดงว่าแนวโน้มขาลงอาจสิ้นสุดลง
3. Trade การแกว่งตัว (Swing trading):
สามารถใช้ MACD เพื่อ “ระบุการแกว่งตัวของราคาและหาจุดเข้าและจุดออกของตำแหน่งซื้อขาย” หากเส้น MACD อยู่เหนือเส้น Signal และกำลังแกว่งตัวเป็นคลื่น แสดงว่าราคาอาจแกว่งตัวไปในทางนั้นต่อไป
เทรดเดอร์ควรฝึกฝนการใช้ MACD ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้สามารถระบุสัญญาณการซื้อขายได้อย่างแม่นยำ
Item 5. Parabolic SAR ดวงดาวระบุความเสี่ยง
Parabolic SAR ย่อมาจาก Stop and Reverse เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ใน “การระบุแนวโน้มของราคา” โดยประกอบด้วยจุดไข่ปลาที่เคลื่อนที่ขึ้นและลงตามแนวโน้มของราคา
จุดไข่ปลาของ Parabolic SAR จะเริ่มต้นที่จุดใดจุดหนึ่งบนกราฟราคา จากนั้นจะเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงตามแนวโน้มของราคา โดยหากราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น จุดไข่ปลาจะเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน หากราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง จุดไข่ปลาจะเคลื่อนที่ลงไปด้านล่าง
การตั้งค่า Parabolic SAR
Parabolic SAR มีการตั้งค่าสองอย่างที่สำคัญ ได้แก่
- ค่าเริ่มต้น (Step): เป็นค่าที่กำหนดความเร็วในการเคลื่อนที่ของเส้น Parabolic SAR โดยค่าเริ่มต้นคือ 0.02
- ค่าสูงสุด (Maximum): เป็นค่าที่กำหนดขีดจำกัดความเร็วในการเคลื่อนที่ของเส้น Parabolic SAR โดยค่าเริ่มต้นคือ 0.20
Parabolic SAR ทำงานโดยพิจารณาจากระดับการซื้อขายของราคา โดยหากราคามีการซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ เส้น Parabolic SAR จะเคลื่อนที่เร็วขึ้น หากราคามีการซื้อขายน้อยลง เส้น Parabolic SAR จะเคลื่อนที่ช้าลง
การใช้งาน Parabolic SAR
Parabolic SAR สามารถใช้ในการระบุแนวโน้มของราคาได้ โดยการพิจารณา ดังนี้
- หากจุดไข่ปลาของ Parabolic SAR อยู่เหนือราคา แสดงว่าราคามีแนวโน้มขาขึ้น
- หากจุดไข่ปลาของ Parabolic SAR อยู่ใต้ราคา แสดงว่าราคามีแนวโน้มขาลง
- หากจุดไข่ปลาของ Parabolic SAR ตัดผ่านราคาในทิศทางตรงกันข้าม แสดงว่าแนวโน้มเดิมอาจเปลี่ยนแปลง
Parabolic SAR จะมีประโยชน์สูงมากเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้สามารถระบุสัญญาณการซื้อขายได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งเป็นจุดกำหนดตำแหน่ง Stop Loss ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Item 6. Stochastics ตัวชี้วัดพลัง
Stochastics เป็น Indicators Forex ทางเทคนิคที่ใช้ในการวัด Momentum ของราคา โดยประกอบด้วยเส้นสองเส้น ได้แก่
- เส้น %K เป็นเส้นหลักของ Stochastics โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาปิดช่วงที่ผ่านมา 14 วัน หารด้วยราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเดียวกัน
- เส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential ในช่วง 3 วัน ของเส้น %K
Stochastics ทำงานโดยหากราคาปิดอยู่ใกล้จุดสูงสุดของช่วงที่ผ่านมา แสดงว่าสินทรัพย์มีพลังขาขึ้น หากราคาปิดอยู่ใกล้จุดต่ำสุดของช่วงที่ผ่านมา แสดงว่าสินทรัพย์มีพลังขาลง
การตั้งค่า Stochastics
Stochastics มีการตั้งค่าสองอย่างที่สำคัญ ได้แก่
- ค่า Period: เป็นค่าที่กำหนดจำนวนช่วงเวลาที่ใช้คำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ โดยค่าเริ่มต้นคือ 14 วัน
- ค่า %K Fast/Slow: เป็นค่าที่กำหนดระยะเวลาที่ใช้คำนวณเส้น %K โดยค่าเริ่มต้นคือ 3 วัน
การใช้งาน Stochastics
Stochastics สามารถใช้ในการระบุแนวโน้มของราคาได้ ด้วยการพิจารณา ดังนี้
- หากเส้น %K อยู่เหนือเส้น %D แสดงว่าราคามีแนวโน้มขาขึ้น
- หากเส้น %K อยู่ใต้เส้น %D แสดงว่าราคามีแนวโน้มขาลง
- หากเส้น %K ตัดผ่านเส้น %D ในทิศทางตรงกันข้าม แสดงว่าแนวโน้มเดิมอาจเปลี่ยนแปลง
สัญญาณการซื้อขายจาก Stochastics
Stochastics สามารถให้สัญญาณการซื้อขายในการเทรด Forex ได้หลากหลายวิธี ดังนี้
1. Trend trading เทรดตามเทรนด์:
สามารถใช้ Stochastics เพื่อระบุแนวโน้มของราคาและหาจุดเข้าและจุดออกของตำแหน่งซื้อขาย โดยหากเส้น %K อยู่เหนือเส้น %D และกำลังเพิ่มขึ้น แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจต่อเนื่อง หากเส้น %K อยู่ใต้เส้น %D และกำลังลดลง แสดงว่าแนวโน้มขาลงอาจต่อเนื่อง
2. Countertrend trading เทรดสวนทาง:
สามารถใช้ Stochastics เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคาและหาจุดเข้าของตำแหน่งซื้อขาย โดยหากเส้น %K อยู่เหนือเส้น %D และกำลังลดลง แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจสิ้นสุดลง หากเส้น %K อยู่ใต้เส้น %D และกำลังเพิ่มขึ้น แสดงว่าแนวโน้มขาลงอาจสิ้นสุดลง
ข้อดีและข้อเสียของ Stochastics
Stochastics เป็นตัวชี้วัดพลังของราคาที่นักเทรดนิยมใช้กันมาก เพราะมีความเร็วมากที่สุดในบรรดาอินดิเคเตอร์ทั้งหลาย แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา ดังนี้
- เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
- สามารถให้สัญญาณการซื้อขายได้หลากหลายวิธี
- สามารถใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคาและจุดกลับตัวของราคาได้ดี
- อาจให้สัญญาณการซื้อขายที่ผิดพลาดได้บ่อยครั้ง
- ไม่สามารถระบุทิศทางของแนวโน้มระยะยาวได้
โดยสรุปแล้ว Stochastics เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่มีประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับประสบการณ์ โดยสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ระบุแนวโน้มของราคาและจุดกลับตัวของราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Item 7. RSI ตัวชี้วัดเลือดในการต่อสู้
Relative Strength Index (RSI) เป็น Indicators Forex ทางเทคนิคที่ใช้ใน “การวัดกำลังของทิศทางราคา” โดยมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100
- หากค่า RSI สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าราคาขาขึ้นมีพลัง
- หากค่า RSI ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าราคาขาลงมีพลัง
RSI คำนวณจากค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนระหว่างราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 14 วัน โดยหากราคาปิดเพิ่มขึ้น อัตราส่วนจะเพิ่มขึ้น และหากราคาปิดลดลง อัตราส่วนจะลดลง จากนั้นจึงหารค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนด้วยค่าตัวเลขที่ 100
การตั้งค่า RSI
RSI มีการตั้งค่าสองอย่างที่สำคัญ ได้แก่
- ค่า Period: เป็นค่าที่กำหนดจำนวนช่วงเวลาที่ใช้คำนวณค่าเฉลี่ย โดยค่าเริ่มต้นคือ 14 วัน
- ค่า Overbought/Oversold: เป็นค่าที่กำหนดระดับค่า RSI ที่บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยค่าเริ่มต้นคือ 70 และ 30
สัญญาณการซื้อขายจาก RSI
สัญญาณการซื้อขายจาก RSI สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท ได้แก่
- สัญญาณ Overbought/Oversold: เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
- สัญญาณ Divergence: เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าแนวโน้มเดิมอาจเปลี่ยนแปลง
สัญญาณ Overbought/Oversold
สัญญาณ Overbought/Oversold เกิดขึ้นเมื่อค่า RSI อยู่เหนือระดับ Overbought หรือต่ำกว่าระดับ Oversold โดยหากค่า RSI อยู่เหนือระดับ Overbought แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าราคาอาจปรับตัวลงได้ หากค่า RSI อยู่ต่ำกว่าระดับ Oversold แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะขายมากเกินไป ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าราคาอาจปรับตัวขึ้นได้
สัญญาณ Divergence
สัญญาณ Divergence เกิดขึ้นเมื่อกราฟราคาและเส้น RSI เคลื่อนไหวสวนทางกัน โดยหากกราฟราคากำลังปรับตัวขึ้น แต่เส้น RSI กำลังปรับตัวลง แสดงว่าตลาดอาจกำลังเกิดสัญญาณ Overbought ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าราคาอาจปรับตัวลงได้ หากกราฟราคากำลังปรับตัวลง แต่เส้น RSI กำลังปรับตัวขึ้น แสดงว่าตลาดอาจกำลังเกิดสัญญาณ Oversold ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าราคาอาจปรับตัวขึ้นได้
ข้อดีและข้อเสียของ RSI
การใช้งานตัวช่วยวิเคราะห์ราคาอย่าง RSI ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต้องใส่ใจ ต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินสินใจเลือกใช้งาน ดังนี้
- เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
- สามารถให้สัญญาณการซื้อขายได้หลากหลายวิธี
- สามารถใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคาและจุดกลับตัวของราคา
- อาจให้สัญญาณการซื้อขายที่ผิดพลาดได้บ่อยครั้ง
- ไม่สามารถระบุทิศทางของแนวโน้มระยะยาวได้
โดยสรุปแล้ว RSI เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่มีประโยชน์สำหรับนักเทรดทุกระดับประสบการณ์ โดยสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ระบุแนวโน้มของราคาและจุดกลับตัวของราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทีมงาน Forexthai.in.th