รูปแบบ Crab (ปู) Harmonic Pattern รูปแบบ Crab จะมีลักษณะคล้ายกับปูสมชื่อจริง ๆ เมื่อไหร่ที่ฟอร์มตัวแล้วก็มีโอกาสที่จะเก็บกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ Harmonic Pattern รูปแบบ Crab “ใช้ได้ดีกับตลาดที่ยังไม่เป็น Trend” การเทรดด้วยรูปแบบ Crab ในตลาด Forex จะมีจุดเข้า Trade ที่ชัดเจน และมีเป้ากำไรให้เก็บได้ค่อนข้างดี มีจุดตัดขาดทุนที่ไม่กว้างมาก เป็นโอกาสที่ดีในการทำกำไรให้ได้ RR ที่มากกว่า 2 เท่า นับว่าคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอน รูปแบบ Crab จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ทั้ง Bullish Crab และ Bearish Crab หลังจากการสร้างรูปแบบปูเป็นที่เรียบร้อย จะมีจุดที่มีโอกาสกลับตัวโดยรูปแบบ Crab จะถูกกำหนดว่า การพักตัวของจุด B ที่วิ่งมาจาก A จะพักตัวที่ระดับ 38.2-61.8% ของ XA จุด C ที่วิ่งมาจาก B … [อ่านต่อ คลิก]
Category Archives: สอนเทรด Forex
สอนเทรด FOREX จาก LEVEL O จากที่ไม่รู้อะไรเลย ไปสู่การเป็น TOP TRADER ที่สามารถเทรดเป็นมืออาชีพ เพื่อทำเงินได้อย่างมั่นคง
ประเภทของกราฟ forex ที่มีในแพลตฟอร์มการเทรดโดยทั่วไป สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะการแสดงข้อมูล ได้แก่ Line chart Bar chart Candlestick chart กราฟเส้น (Line Chart) กราฟเส้น (Line Chart) เป็นกราฟที่แสดงข้อมูลราคาปิดของคู่สกุลเงินในช่วงเวลาที่กำหนด โดยแต่ละจุดข้อมูลจะเป็นจุดราคาปิดและเส้นเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง กราฟเส้นให้ข้อมูลภาพรวมของการเคลื่อนไหวของราคาโดยรวม แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความผันผวนของราคาและระดับราคาที่เฉพาะเจาะจง กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นกราฟที่แสดงข้อมูลราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดของคู่สกุลเงินในช่วงเวลาที่กำหนด โดยแต่ละแท่งเทียนจะแสดงข้อมูลเหล่านี้ด้วยสัญลักษณ์แท่งเทียนที่มีรูปร่างแตกต่างกันที่เห็นได้อย่างชัดเจน กราฟแท่งเทียนให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่ละเอียดกว่ากราฟเส้น รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับความผันผวนของราคาและระดับราคาที่เฉพาะเจาะจงด้วย กราฟแท่ง (Bar Chart) กราฟแท่ง (Bar Chart) เป็นกราฟที่แสดงข้อมูลราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดของคู่สกุลเงินในช่วงเวลาที่กำหนด โดยแต่ละแท่งแสดงข้อมูลเหล่านี้ด้วยสัญลักษณ์แท่งที่มีรูปร่างคล้ายกับแท่งเทียน กราฟแท่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่คล้ายกับกราฟแท่งเทียน แต่จะไม่มีไส้เทียน จึงมีความซับซ้อนน้อยกว่า ดูและเข้าใจง่ายกว่า ประเภทของกราฟ Forex … [อ่านต่อ คลิก]
Support and Resistance คืออะไร? Support and Resistance หรือแนวรับและแนวต้าน คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะเป็นจุดที่ราคามีแนวโน้มที่จะหยุดชะลอหรือกลับตัว โดยที่ Support แนวรับ คือระดับราคาที่คาดว่าราคาจะหยุดการปรับตัวลดลง Resistance แนวต้าน คือระดับราคาที่คาดว่าราคาจะหยุดการปรับตัวเพิ่มขึ้น Support และ Resistance เกิดขึ้นได้อย่างไร โซนของราคาที่จะกำหนดให้เป็นแนวรับ-แนวต้าน สามารถเกิดขึ้นได้หลายวิธี โดยทั่วไปจะกำหนดกันด้วยวิธีเหล่านี้ แนวรับและแนวต้านทางจิตวิทยา เป็นระดับราคาที่นักลงทุนมองว่ามีความสำคัญ เช่น ระดับราคา 100, 200, หรือ 300 แนวรับและแนวต้านทางเทคนิค เป็นระดับราคาที่เกิดจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือเส้น Fibonacci แนวรับและแนวต้านทางพื้นฐาน เป็นระดับราคาที่เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ระดับราคาที่สะท้อนมูลค่าพื้นฐานของสินทรัพย์ แนวรับและแนวต้านสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุแนวโน้มของราคาและหาจุดเข้าและจุดออกของตำแหน่งซื้อขายได้ การกำหนด Support และ Resistance ในการกำหนดแนวรับและแนวต้าน มีเทคนิคหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ใช้กันทั่วไป ดังนี้ ใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดที่ผ่านมา … [อ่านต่อ คลิก]
เอาละ… มาถึงบทส่งท้ายของบทเรียนกันแล้ว จากที่เรียนรู้กันมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ล้วนแต่มีความหมาย มีความจำเป็นต่อการใช้งานในการเทรด Forex อย่างยิ่ง ใครที่เรียนรู้แล้วนำมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม การก้าวไปสู่สุดยอดของ Top Trader ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สิ่งที่อยากจะเสนอในบทส่งท้ายนี้คือเคล็ดลับวิชาอันสุดยอด เป็นวิชาเพิ่ม Skill ขั้นเทพ เพื่อที่จะเอาชนะเกมเศรษฐีที่ชื่อว่า Forex ไปอัพสกิลกันเลยดีกว่า การใช้ Leverage และ Margin อย่างถูกต้อง อย่างแรกเลยคือต้องทำความเข้าใจกับ Leverage และ Margin ในการ Forex ให้เหมือนกับมือโปรกันก่อน เพราะโดยทั่วไปแล้วนักเทรดมือใหม่มักจะมองข้าม มักจะมองว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ ของ Forex แต่จริง ๆ แล้ว Leverage และ Margin ทั้งสองสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของการเทรด Forex เลยก็ว่าได้ เพราะนักเทรดมืออาชีพทั้งหลายจะให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้มาก Leverage คืออะไร? Leverage เปรียบเสมือน “เงินกู้” ที่โบรกเกอร์ Forex เสนอให้เรา โดยเทรดเดอร์ใช้เงินทุนเพียงจำนวนน้อย … [อ่านต่อ คลิก]
การจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ จัดการความเสี่ยง เปรียบเสมือนเกราะป้องกันอันทรงพลัง ที่คอยช่วยให้คุณควบคุมความสูญเสียและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาด Forex ทำไมการจัดการความเสี่ยงถึงสำคัญ ก็ด้วยเหตุผล ดังนี้ ตลาด Forex มีความผันผวนสูง การสูญเสียเงินทุนทั้งหมดมีความเป็นไปได้ตลอดเวลา ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงจึงช่วยให้คุณควบคุมการสูญเสียต่อการเทรด และปกป้องเงินทุนของคุณ พร้อมทั้งรักษาสุขภาพจิตที่ดีในการเทรดได้นั่นเอง 7 กลยุทธ์ จัดการความเสี่ยง ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ในการจัดการกับความเสี่ยง กับการเทรด Forex ที่มีประสิทธิภาพ มีวิธีการ 7 กลยุทธ์ ดังนี้ 1. กำหนดเป้าหมายและระดับความเสี่ยง: กำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน ประเมินระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ ปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยง 2. ใช้ Stop Loss: กำหนดจุด Stop Loss เพื่อจำกัดการสูญเสียต่อการเทรด ปรับระดับ Stop Loss ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์และสภาวะตลาด ใช้ Stop Loss อย่างมีวินัย 3. ใช้ Position Sizing: กำหนดขนาด … [อ่านต่อ คลิก]
สิ่งที่นักเทรด Forex มืออาชีพต้องทำในฐานะเทรดเดอร์คือการ “บันทึกผลการเทรด” เพราะการบันทึกผลการเทรดนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในอาชีพนี้ ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้ ติดตามประสิทธิภาพ: บันทึกผลการเทรด ช่วยให้สามารถติดตามประสิทธิภาพของตัวเองได้อย่างละเอียด ใช้วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนในการเทรด แล้วจะมองเห็นพัฒนาการของตัวเองได้ ประเมินกลยุทธ์ที่ใช้ว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน เรียนรู้จากประสบการณ์: ได้เรียนรู้จากการบันทึกทุกรายละเอียดของการเทรด ได้วิเคราะห์สาเหตุของกำไรและขาดทุน แล้วพัฒนาทักษะการตัดสินใจที่ดีได้ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด แล้วหลีกเลี่ยงการผิดพลาดซ้ำ ๆ ได้ พัฒนากลยุทธ์: เมื่อวิเคราะห์รูปแบบของการเทรด ก็จะสามารถระบุโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างดี สามารถปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดได้ เพิ่มประสิทธิภาพของการเทรดได้ ควบคุมอารมณ์: บันทึกอารมณ์ของตัวเอง แล้ววิเคราะห์อิทธิพลของอารมณ์ต่อการตัดสินใจ ฝึกวินัยในการเทรด โดยควบคุมความรู้สึก หลีกเลี่ยงการเทรดด้วยอารมณ์ พิสูจน์ความสำเร็จ: เมื่อบันทึกผลลัพธ์ของการเทรด ก็จะมีหลักฐานแสดงความสำเร็จของการเทรด ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้ การบันทึกผลการเทรดเปรียบเสมือน “เข็มทิศนำทางสู่ความสำเร็จ” ช่วยให้สามารถพัฒนาตัวเองเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพ ควบคุมอารมณ์ได้ดี และบรรลุเป้าหมายในการเทรด Forex แบบมืออาชีพได้ การบันทึกผลการเทรด วิธีการบันทึกผลการเทรดที่มีประโยชน์ต่อการเทรด Forex มากที่สุดนั้น ให้บันทึกโดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. บันทึกข้อมูลอย่างละเอียด: วันที่และเวลา: บันทึกวันที่และเวลาของทุกการเทรด คู่สกุลเงิน: … [อ่านต่อ คลิก]
เทคนิคการสร้างระบบเทรดต่อไปนี้ คือกลยุทธ์ลับของ “ระบบเทรด Forex” สุดปัง ที่จะช่วยให้พิชิตกำไรมหาศาลในตลาด Forex ได้อย่างง่ายดาย เป็นระบบเทรดที่ใช้ศาสตร์แห่งเทคนิคอลวิเคราะห์ร่วมกับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงขั้นสูง ซึ่งกลไกของระบบเทรดมีดังนี้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค: ใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่หลากหลาย ตามสภาวะของตลาด เช่น Moving Average, MACD, RSI ฯลฯ วิเคราะห์รูปแบบกราฟราคา เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดล่วงหน้า ค้นหารูปแบบราคาที่บ่งบอกโอกาสในการเข้าซื้อหรือขาย กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง: ให้ความสำคัญกับการควบคุมความเสี่ยงเป็นอันดับแรก ตั้งจุด Stop Loss เพื่อจำกัดการสูญเสีย ใช้ Position Sizing ที่เหมาะสมกับเงินทุน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหลายคู่เงิน ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: เป็นระบบเทรดที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 10% มี Win Rate สูงถึง 70% สามารถดึงกำไรจากตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยระบบเทรดอันทรงพลังนี้ คุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว สร้างรายได้เสริมจากตลาด Forex มีอิสรภาพทางการเงินและใช้ชีวิตอย่างที่คุณต้องการได้ เป้าหมายหลักของเทคนิคลับระบบเทรด เป้าหมายหลักของเทคนิคลับระบบเทรดที่ว่านี้ เป็นระบบเทรดที่มีเป้าหมายหลักดังต่อไปนี้: สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ: มุ่งเน้นไปที่การสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ มากกว่าการทำกำไรก้อนโตในระยะสั้น หลีกเลี่ยงการไล่ล่าผลตอบแทนสูงเกินจริง จนเสี่ยงต่อเงินทุน … [อ่านต่อ คลิก]
แผนการเทรด Forex มันก็เหมือนเข็มทิศที่จะนำทางสู่ความสำเร็จ เป็นตัวช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจอย่างมีระบบ ลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสทำกำไร ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของแผนการเทรด มีดังนี้ 1. เป้าหมายและกลยุทธ์: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการรายได้เสริม หรือสร้างรายได้หลัก เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด บุคลิก และระยะเวลาที่ใช้ กลยุทธ์อาจใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือผสมผสานทั้งสอง 2. การจัดการความเสี่ยง: กำหนดขนาดการเทรดที่เหมาะสม โดยใช้เครื่องมือ Money Management กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit สำหรับทุกออเดอร์ ตั้ง Stop Loss เผื่อไว้สำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด 3. การบันทึกและวิเคราะห์ผล: จดบันทึกการเทรดทุกครั้ง เพื่อติดตามผล วิเคราะห์จุดผิดพลาด และพัฒนาทักษะ วิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ตัวอย่างแผนการเทรด: เป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่การเพิ่มรายได้ 10% ต่อเดือน กลยุทธ์: เทรดแบบสวิงบนคู่เงิน EUR/USD โดยใช้ Moving … [อ่านต่อ คลิก]
เนื่องจากประเภทของ Trader ในตลาด Forex มีหลายสไตล์ นักเทรดแต่ละประเภทก็จะมีกลยุทธ์และระบบเทรดที่แตกต่างกัน เพราะจะปรับเปลี่ยนไปตาม “สไตล์การเทรด” แต่ละประเภทนั่นเองในจำนวนของนักเทรด Forex มืออาชีพ สไตล์ของเทรดเดอร์ในตลาดที่มีอยู่ พอจะแบ่งเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ 4 ประเภท ดังนี้ 1. Short-term Trader: เทรดเดอร์ระยะสั้น เป็นนักเทรดที่มุ่งเน้นการทำกำไรในระยะสั้น โดยใช้กรอบเวลาในการซื้อขายตั้งแต่นาที ชั่วโมง ไปจนถึงวัน มีลักษณะดังนี้ อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก เครื่องมือที่ใช้คือกราฟราคา, อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เพื่อจับสัญญาณการซื้อขายระยะสั้น กลยุทธ์ที่นิยมใช้ เช่น Scalping, Day Trading, Swing Trading 2. Long-term Trader: เทรดเดอร์ระยะยาว เป็นนักเทรดที่มุ่งเน้นการทำกำไรในระยะยาว โดยใช้กรอบเวลาในการซื้อขายเป็นสัปดาห์ เดือน ไปจนถึงปี มีลักษณะดังนี้ อาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจและแนวโน้มของตลาด เครื่องมือที่ใช้คือข่าวสารเศรษฐกิจ, ดัชนีเศรษฐกิจ, การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน กลยุทธ์ที่นิยมใช้ เช่น Position … [อ่านต่อ คลิก]
ในตลาด Forex มีสินทรัพย์มากมายหลายชนิดที่ Broker เปิดให้เลือกเทรด เทรดเดอร์สามารถเลือกเทรดได้ตามที่ตนเองชื่นชอบ แต่มีสินทรัพย์ที่น่าลงทุน 3 ชนิด ในตลาด Forex ที่อยากนำเสนอ คือ USD: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยและสภาพคล่อง GOLD: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาด BRENT: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาน้ำมัน สินทรัพย์ทั้งสามอย่างนี้ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มนักลงทุนที่เทรดกันในตลาด Forex แม้ในปัจจุบันนี้มีค่าเงินดิจิทัล Cryptocurrency ให้เลือกเทรดด้วย แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก จะลงทุนกับ USD ต้องรู้ว่า DXY คืออะไร? ในตลาด Forex สกุลเงิน USD มีบทบาทสำคัญมาก การที่จะลงทุนกับ USD ก็ต้องรู้ว่า DXY คืออะไร DXY คือค่าเงินดัชนีดอลลาร์สหรัฐ เป็นมาตรวัดค่าเงิน USD เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล ได้แก่ EUR: ค่าเงินของกลุ่มยูโรโซน JPY: ค่าเงินเยนญี่ปุ่น GBP: ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ … [อ่านต่อ คลิก]
Carry Trade คือ กลยุทธ์การลงทุนในตลาด Forex ที่อาศัยการเก็งกำไรจาก “อัตราดอกเบี้ย” ของสกุลเงินต่าง ๆ โดยนักลงทุนจะยืมเงินในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ (Low-Yielding Currency) และนำเงินไปซื้อสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง (High-Yielding Currency) ตัวอย่าง: สมมติว่า อัตราดอกเบี้ยของ USD อยู่ที่ 0.5% อัตราดอกเบี้ยของ THB อยู่ที่ 2.0% นักลงทุนสามารถยืม USD 100,000 ดอลลาร์ (โดยจ่ายดอกเบี้ย 0.5%) และนำเงินไปซื้อ THB 3,300,000 บาท (โดยได้รับดอกเบี้ย 2.0%) ผลลัพธ์คือ นักลงทุนได้รับ ดอกเบี้ย 66,000 บาทต่อปี (2.0% ของ 3,300,000 บาท) นักลงทุนต้อง จ่ายดอกเบี้ย 5,000 ดอลลาร์ต่อปี (0.5% ของ 100,000 ดอลลาร์) กำไรสุทธิที่ได้เท่ากับ … [อ่านต่อ คลิก]
ข่าวมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาด Forex เพราะสามารถส่งผลต่อราคาของสกุลเงินต่าง ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจ: ข่าวเศรษฐกิจ เช่น ข้อมูล GDP, อัตราเงินเฟ้อ, ตัวเลขการจ้างงาน, หรือยอดค้าปลีก เป็นต้น ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเสถียรภาพของเศรษฐกิจประเทศนั้น ๆ นโยบายการเงิน: ข่าวเกี่ยวกับนโยบายการเงิน เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเป็นต้น ล้วนส่งผลต่อความน่าดึงดูดของสกุลเงินนั้น ๆ เช่นกัน เหตุการณ์ทางการเมือง: ข่าวการเมือง เช่น การเลือกตั้ง, การเจรจาการค้า, หรือสงคราม ล้วนสร้างความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในตลาด Forex ภัยธรรมชาติ: ภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวหรือน้ำท่วม ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จนกระทบไปถึงค่าเงินได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่ามีข่าวหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวของราคาคู่เงินในตลาด Forex ดังนั้นการติดตามวิเคราะห์ข่าวย่อมช่วยในการเทรดได้อย่างดี ประเภทของข่าวที่ส่งผลต่อตลาด Forex ประเภทของข่าวที่ส่งผลต่อตลาด Forex จนทำให้เกิดการวิ่งของราคาคู่เงินต่าง ๆ นั้น ที่ส่งผลและต้องจับตามองเป็นพิเศษ มีข่าวดังนี้ ข่าวเศรษฐกิจ: ข้อมูล GDP อัตราเงินเฟ้อ … [อ่านต่อ คลิก]
Market Sentiment ในการเทรด Forex หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดโดยรวม ซึ่งส่งผลต่อทิศทางและความผันผวนของราคา อารมณ์ตลาดจะมีอยู่ 3 รูปแบบคือ ความกลัว: เมื่อนักลงทุนกลัว จะเทขาย ส่งผลให้ราคาลดลง ความโลภ: เมื่อนักลงทุนโลภ จะซื้อ ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้น ความสับสน: เมื่อนักลงทุนสับสน ไม่มั่นใจ จะไม่ซื้อหรือขายมากนัก ส่งผลให้ราคาวิ่งในกรอบแคบ ๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Market Sentiment สิ่งที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดอารมณ์ตลาด (Market Sentiment) ในการเทรด Forex มีดังนี้ ข่าวสาร: ข่าวเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน เหตุการณ์ทางการเมือง ภัยพิบัติ ฯลฯ ข้อมูล: ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ สถิติ รายงานการวิเคราะห์ ฯลฯ เทคนิค: กราฟราคา รูปแบบทางเทคนิค อินดิเคเตอร์ ฯลฯ จิตวิทยา: ความกลัว ความโลภ ความหวัง … [อ่านต่อ คลิก]
สภาวะของตลาด Forex การระบุเทรนด์ในตลาด สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่นักเทรดต้องการพิจารณา ปัจจัยที่สามารถช่วยชี้วัดแนวโน้มในตลาด forex เพื่อระบุ Trend นั้น มีดังนี้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการระบุเทรนด์ในตลาด forex โดยนักเทรดจะพิจารณาจากรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา ตัวอย่างวิธีการระบุเทรนด์ในตลาด forex โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ดังนี้ trend line พิจารณาจากเส้นแนวโน้ม: หากเส้นแนวโน้มมีทิศทางขาขึ้น แสดงว่าราคากำลังมีแนวโน้มขาขึ้น support and resistance พิจารณาจากแนวรับและแนวต้าน: หากราคาทะลุผ่านแนวต้านไปได้ แสดงว่าราคากำลังมีแนวโน้มขาขึ้น moving average พิจารณาจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาวขึ้น แสดงว่าราคากำลังมีแนวโน้มขาขึ้น การวิเคราะห์พื้นฐาน การวิเคราะห์พื้นฐานเป็นการพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย ตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น อัตราดอกเบี้ย: หากประเทศใดมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าประเทศอื่น จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจ: หากตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศใดออกมาดี จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น นโยบายการเงิน: หากนโยบายการเงินของประเทศใดผ่อนคลายลง จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นอ่อนค่าลง ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเลือกตั้ง … [อ่านต่อ คลิก]
การเทรด Forex ด้วย Breakout คือ การเทรดที่รอราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง ที่ผ่านการทดสอบมาด้วยระยะเวลาที่นานพอประมาณ Breakout ที่จะเข้าไปทำกำไรได้นั้น มักจะมีคุณสมบัติดังนี้ Breakouts ที่เป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม: Breakout ประเภทนี้ ราคามักจะทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับ หลังจากเคลื่อนไหวในทิศทางเดิมมาเป็นเวลานาน อย่างเช่น ราคาอาจจะวิ่งเป็นขาขึ้นมานาน เคยทะลุผ่านแนวต้านมาแล้วหลายรอบ โดยที่ไม่เคยผ่านแนวรับเลย จนเมื่อไม่อาจวิ่งผ่านแนวต้านได้อีกแต่กลับทะลุผ่านแนวรับได้ นี่คือสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นเอง Breakouts ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลายาวย่อมดีกว่าสั้น: Breakout ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่สั้นกว่า ในขณะที่ Breakout ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลารายวัน อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่ยาวกว่า ดังนั้น โอกาสที่จะทำกำไรดี ๆ จึงมีมากกว่า เห็นได้ว่า Breakouts เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเทรด Forex อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าบางครั้ง Breakout อาจเป็นสัญญาณปลอม (False Breakout) ก็มีได้ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เทคนิคการเทรดด้วย Breakout Breakouts ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร กับการเทรด Forex … [อ่านต่อ คลิก]