เนื่องจากประเภทของ Trader ในตลาด Forex มีหลายสไตล์ นักเทรดแต่ละประเภทก็จะมีกลยุทธ์และระบบเทรดที่แตกต่างกัน เพราะจะปรับเปลี่ยนไปตาม “สไตล์การเทรด” แต่ละประเภทนั่นเองในจำนวนของนักเทรด Forex มืออาชีพ สไตล์ของเทรดเดอร์ในตลาดที่มีอยู่ พอจะแบ่งเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ 4 ประเภท ดังนี้
1. Short-term Trader:
เทรดเดอร์ระยะสั้น เป็นนักเทรดที่มุ่งเน้นการทำกำไรในระยะสั้น โดยใช้กรอบเวลาในการซื้อขายตั้งแต่นาที ชั่วโมง ไปจนถึงวัน มีลักษณะดังนี้
- อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก เครื่องมือที่ใช้คือกราฟราคา, อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เพื่อจับสัญญาณการซื้อขายระยะสั้น
- กลยุทธ์ที่นิยมใช้ เช่น Scalping, Day Trading, Swing Trading
2. Long-term Trader:
เทรดเดอร์ระยะยาว เป็นนักเทรดที่มุ่งเน้นการทำกำไรในระยะยาว โดยใช้กรอบเวลาในการซื้อขายเป็นสัปดาห์ เดือน ไปจนถึงปี มีลักษณะดังนี้
- อาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจและแนวโน้มของตลาด เครื่องมือที่ใช้คือข่าวสารเศรษฐกิจ, ดัชนีเศรษฐกิจ, การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- กลยุทธ์ที่นิยมใช้ เช่น Position Trading, Trend Following
3. System Trader:
เทรดเดอร์ตามระบบ ใช้ระบบอัตโนมัติหรือโปรแกรมในการซื้อขาย แทนการตัดสินใจด้วยตัวเอง มีลักษณะดังนี้
- ระบบจะวิเคราะห์ตลาดและส่งสัญญาณซื้อขายตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ เครื่องมือที่ใช้คือโปรแกรมเทรดอัตโนมัติ, Expert Advisors (EA)
- เทรดเดอร์ประเภทนี้ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม หรือใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเป็น
4. Hybrid Trader:
เทรดเดอร์แบบผสมผสาน ผสมผสานกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาวเข้าด้วยกัน มีลักษณะดังนี้
- อาศัยทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน เทรดเดอร์ประเภทนี้ต้องมีความเข้าใจทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน
- ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดได้อย่างดี
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีแบบไหนดีที่สุดหรือแย่ที่สุด ขึ้นอยู่กับบุคลิก สไตล์การเทรด และเป้าหมายทางการเงินของคุณ สิ่งสำคัญคือสไตล์ที่เหมาะกับตัวเอง เทรดแล้วมีประสิทธิภาพที่สุด นั่นแหละใช่เลย

Scalping Trader คืออะไร?
Scalping Trader คือนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์การเทรด Forex ระยะสั้น โดยมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นมาก
เทรดเดอร์ Scalping มักจะเข้าและออกจากตลาดหลายครั้งในหนึ่งวัน โดยใช้ Leverage สูง ๆ เพื่อขยายผลกำไร ลักษณะสำคัญของ Scalping Trader มีดังนี้
- ระยะเวลาการเทรดสั้น: Scalping Trader มักจะถือครองสถานะการซื้อขายเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที
- เป้าหมายกำไร: Scalping Trader มักจะตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 5-10 pips ต่อการเทรด
- Leverage สูง: Scalping Trader มักใช้เลเวอเรจสูงเพื่อขยายผลกำไร
- ความเสี่ยงสูง: การเทรดแบบ Scalping เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีการใช้ Leverage สูงมาก และมีการตัดสินใจซื้อขายบ่อยครั้งในแต่ละวันด้วย
กลยุทธ์ที่ใช้ในการเทรดแบบ Scalping
Trader ที่ใช้กลยุทธ์ในการเทรดแบบ Scalping มักจะมีแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ดังนี้
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: Scalping Trader มักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุจุดเข้าและออกที่ดีที่สุด
- การอ่านเทรนด์: Scalping Trader มักจะพยายามเทรดตามเทรนด์
- การใช้ตัวบ่งชี้: Scalping Trader มักใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย
ข้อดีและข้อเสียของ Scalping
สำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping มีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณา ดังนี้
ข้อดีของ Scalping:
- มีโอกาสทำกำไรได้ทุกวัน: เนื่องจากตลาด Forex มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา การเทรดแบบ Scalping จึงทำให้มีโอกาสทำกำไรได้ทุกวัน
- ใช้เวลาในการเทรดน้อย: Scalping Trader ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการรอปิดออเดอร์นาน บ่อยครั้งไม่กี่นาทีก็ปิดได้แล้ว
ข้อเสียของ Scalping:
- ความเสี่ยงสูง: Scalping เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีการใช้ Leverage สูงและมีการตัดสินใจซื้อขายบ่อยครั้ง
- ความเครียดสูง: Scalping Trader จำเป็นต้องมีสมาธิและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจสร้างความเครียดได้
- จำเป็นต้องมีทักษะ: การเทรดแบบ Scalping เป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ที่มีในตลาดระดับหนึ่ง จึงจะมีประสิทธิภาพ
การเทรดแบบ Scalping เหมาะกับใคร?
การเทรดแบบ Scalping เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีพื้นฐานในตลาด Forex มากพอในระดับหนึ่ง โดยมีพื้นฐานดังนี้
- ความอดทน: Scalping Trader จำเป็นต้องมีทักษะในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและสามารถควบคุมอารมณ์ได้
- ความรู้: Scalping Trader จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการใช้ Leverage ที่เหมาะสม
- เงินทุน: Scalping Trade จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองเพียงพอ
การเทรดแบบ Scalping เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้ทุกวัน กลยุทธ์นี้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีทักษะ ประสบการณ์ และเงินทุนที่เพียงพอ

Day Trading คืออะไร?
Day Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะสั้นที่มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาภายในวันเดียว เทรดเดอร์ Day Trading อาจจะเข้าและออกจากตลาดหลายครั้งในหนึ่งวัน แต่จะไม่ถือครองสถานะการซื้อขายข้ามวัน มีลักษณะสำคัญ ดังนี้
- ระยะเวลาการเทรดสั้น: Day Trading มักจะถือครองสถานการณ์ซื้อขายเพียงไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง และไม่ข้ามวัน
- เป้าหมายกำไร: Day Trading มักจะตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 10-30 pips ต่อการเทรด
- Leverage: Day Trading มักใช้ตัวช่วยอย่างเลเวอเรจเพื่อขยายผลกำไร
- ความเสี่ยง: Day Trading เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง เนื่องจากมีการตัดสินใจซื้อขายบ่อยครั้ง
กลยุทธ์ที่ใช้ใน Day Trading
Trader ที่ใช้กลยุทธ์ในการเทรดแบบ Day Trading มักจะมีแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ดังนี้
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: Day Trading มักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุจุดเข้าและออกที่ดีที่สุด
- การอ่านเทรนด์: Day Trading มักจะพยายามเทรดตามเทรนด์
- การใช้ตัวบ่งชี้: Day Trading มักใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย
ข้อดีและข้อเสียของ Day Trading
สำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Day Trading มีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณา ดังนี้
ข้อดีของ Day Trading:
- มีโอกาสทำกำไรได้ทุกวัน: มีโอกาสทำกำไรได้ทุกวัน เนื่องจากตลาด Forex มีการเปิดซื้อขายตลอดวัน
- เวลาในการเทรดน้อย: Day Trading ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเทรดมาก
ข้อเสียของ Day Trading:
- ความเสี่ยง: Day Trading เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง เนื่องจากมีการตัดสินใจซื้อขายไม่ถึงกับบ่อยนัก
- ความเครียด: Day Trading จำเป็นต้องมีสมาธิและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจสร้างความเครียดได้
- จำเป็นต้องมีทักษะ: Day Trading เป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์สูงเช่นกัน
Day Trading เหมาะกับใคร?
การเทรดแบบ Day Trading เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ในตลาด Forex มากพอในระดับหนึ่ง โดยมีพื้นฐาน ดังนี้
- ความอดทน: Day Trading จำเป็นต้องมีทักษะในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและสามารถควบคุมอารมณ์ได้
- ความรู้: Day Trading จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการใช้เลเวอเรจ
- เงินทุน: Day Trading จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองเพียงพอเช่นกัน
Day Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะสั้นที่มีความเสี่ยงปานกลาง แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้ทุกวัน กลยุทธ์นี้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีทักษะ ประสบการณ์ และเงินทุนเพียงพอที่จะป้องกันความเสี่ยงได้

Swing Trading คืออะไร?
Swing Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะกลางที่มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในช่วงระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
สไตล์การเทรด Swing Trading มักจะถือครองสถานะการซื้อขายนานกว่า Day Trading แต่สั้นกว่า Position Trading มีลักษณะสำคัญ ดังนี้
- ระยะเวลาการเทรด: Swing Trading มักจะถือครองสถานะการซื้อขายตั้งแต่ 1 วันจนถึง 3 เดือน
- เป้าหมายกำไร: Swing Trading มักจะตั้งเป้าหมายกำไรอย่างน้อยเอาไว้ที่ 30-50 pips ต่อการเทรด
- Leverage: การเทรดแบบ Swing Trading มีการใช้เลเวอเรจเพื่อขยายผลกำไรช่วยด้วย
- ความเสี่ยง: Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า Day Trading เนื่องจากมีการตัดสินใจซื้อขายน้อย
กลยุทธ์ที่ใช้ใน Swing Trading
Trader ที่ใช้กลยุทธ์ในการเทรดแบบ Swing Trading มักจะมีแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ดังนี้
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: Swing Trading มีการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุจุดเข้าและออกที่ดีที่สุด
- อ่านเทรนด์: Swing Trading มีการเทรดตามเทรนด์ ตามแนวโน้มใหญ่เป็นหลัก
- ใช้ตัวบ่งชี้: Swing Trading มีการใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขายด้วย
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: Swing Trading ต้องใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ข้อดีและข้อเสียของ Swing Trading
สำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Swing Trading มีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณา ดังนี้
ข้อดีของ Swing Trading:
- ความเสี่ยงน้อย: Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า Day Trading
- ใช้เวลาในการเฝ้ากราฟน้อย: Swing Trading ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเทรดมาก ไม่ต้องเฝ้ากราฟ
- มีโอกาสทำกำไร: Swing Trading มีโอกาสทำกำไรจากเทรนด์เป็นหลัก ซึ่งจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า
เสียของ Swing Trading:
- กำไรน้อย: Swing Trading มักมีเป้าหมายกำไรที่พอสมควร แต่ก็น้อยกว่า Day Trading เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ใช้
- ใช้เวลานาน: Swing Trading ใช้เวลานานกว่า Day Trading
- จำเป็นต้องมีทักษะ: Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ พร้อมทั้งเข้าใจปัจจัยทางพื้นฐานด้วย
Swing Trading เหมาะกับใคร?
การเทรดแบบ Swing Trading เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ในตลาด Forex มากพอ และต้องมีความเข้าใจด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจด้วย โดยมีพื้นฐาน ดังนี้
- ความอดทน: Swing Trading จำเป็นต้องมีทักษะในการรอคอยและสามารถควบคุมอารมณ์ได้
- ความรู้: Swing Trading จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน
- เงินทุน: Swing Trading การมีเงินทุนสำรองเพียงพอ ช่วยให้เพิ่มโอกาสในการทำกำไรที่มากกว่าได้
Swing Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะกลางที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า Day Trading แต่ก็มีโอกาสทำกำไรจากเทรนด์ กลยุทธ์นี้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีทักษะ ประสบการณ์ และเข้าใจตลาดโดยรวมที่ดี

Position Trading คืออะไร?
Position Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะยาว โดยมีเป้าหมายไปที่การทำกำไรจากเทรนด์ระยะยาว มักจะถือครองสถานการณ์ซื้อขายยาวนานเป็นหลายเดือนหรือหลายปี มีลักษณะสำคัญ ดังนี้
- ระยะเวลาการเทรด: Position Trading มักจะถือครองสถานะการซื้อขายตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 1 ปี หรือมากกว่า
- เป้าหมายกำไร: Position Trading มักจะตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 50-100 pips หรือมากกว่าต่อการเทรด
- Leverage: Position Trading มีการใช้เลเวอเรจช่วยในการเทรดด้วย
- ความเสี่ยง: Position Trading เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากมีการตัดสินใจซื้อขายน้อยมาก
กลยุทธ์ที่ใช้ใน Position Trading
Trader ที่ใช้กลยุทธ์ในการเทรดแบบ Position Trading มักจะมีแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ดังนี้
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: Position Trading มักใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อระบุจุดเข้าและออกที่ดีที่สุด
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: Position Trading ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจเท่านั้น
- การอ่านเทรนด์: Position Trading จะพยายามเทรดตามเทรนด์เป็นหลัก มองภาพใหญ่ของตลาดมากกว่า
ข้อดีและข้อเสียของ Position Trading
สำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Position Trading มีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณา ดังนี้
ข้อดีของ Position Trading:
- ความเสี่ยงน้อย: การเทรดแบบ Position Trading เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดก็ว่าได้
- ใช้เวลาในการเทรดน้อย: Position Trading ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเทรดมาก
- มีโอกาสทำกำไร: Position Trading มีโอกาสทำกำไรจากเทรนด์ระยะยาว
ข้อเสียของ Position Trading:
- กำไรน้อย: Position Trading ทำกำไรโดยรวมที่น้อยกว่า Day Trading และ Swing Trading
- ใช้เวลานาน: Position Trading ใช้เวลานานกว่า Day Trading และ Swing Trading มาก
- จำเป็นต้องมีทักษะ: Position Trading เป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์เช่นกัน
Position Trading เหมาะกับใคร?
การเทรดแบบ Position Trading เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีความอดทนรอในตลาด Forex มากพอ และต้องมีความเข้าใจด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจด้วย โดยมีพื้นฐาน ดังนี้
- ความอดทน: เทรดเดอร์ Position Trading จำเป็นต้องมีทักษะในการรอคอยและสามารถควบคุมอารมณ์ได้
- ความรู้: เทรดเดอร์ Position Trading จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- เงินทุน: เทรดเดอร์ Position Trading จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองเพียงพอ
Position Trading เป็นกลยุทธ์การเทรด Forex ระยะยาวที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็มีโอกาสทำกำไรจากเทรนด์ระยะยาวที่แน่นอนกว่า กลยุทธ์นี้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีความอดทนรอด้วยเวลาที่ยาวนานมาก

คุณเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน?
สไตล์การเทรด ในตลาด Forex แต่ละประเภทที่กล่าวมาแล้วนั้น มีวิธีการค้นหาว่าคุณเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหนกันแน่ ด้วยวิธีการพิจารณา ดังนี้
วิเคราะห์บุคลิกของคุณ:
- คุณมีความอดทนรอคอยผลลัพธ์ระยะยาวหรือไม่?
- คุณชอบการตัดสินใจซื้อขายบ่อยครั้งหรือไม่?
- คุณสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีหรือไม่?
- คุณชอบความเสี่ยงหรือไม่?
พิจารณาเป้าหมายทางการเงินของคุณ:
- คุณต้องการทำกำไรระยะสั้นหรือระยะยาว?
- คุณต้องการทำกำไรมากน้อยแค่ไหน?
- คุณต้องการลงทุนเงินมากน้อยแค่ไหน?
รู้เกี่ยวกับประเภทของ Trader:
- Scalping
- Day Trading
- Swing Trading
- Position Trading
ทดลองเทรดด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ:
- เปิดบัญชีเดโมกับโบรกเกอร์ Forex
- ทดลองเทรดด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ
- จดบันทึกผลลัพธ์ของคุณ
เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณ:
- เลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับบุคลิก เป้าหมาย และผลลัพธ์ของคุณ
สิ่งสำคัญคือคุณต้องศึกษาและทำความเข้าใจประเภทของ Trader ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจว่าประเภทไหนเหมาะสมกับคุณ เพื่อที่จะเลือกใช้กลยุทธ์ในการเทรดที่ถูกต้องและเหมาะสม
บทสรุป
คุณคือ Trader สไตล์ไหน จากประเภทของเทรดเดอร์ Forex ต่อไปนี้
- เน้นทำกำไรเล็กน้อยจากการเคลื่อนไหวระยะสั้น
- ใช้เวลาในการเทรดน้อย
- ความเสี่ยงสูง
- เน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาภายในวัน
- ไม่ถือครองสถานะการซื้อขายข้ามวัน
- ความเสี่ยงปานกลาง
- เน้นทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในช่วงหลายวันหรือหลายสัปดาห์
- ใช้เวลาในการเทรดน้อยกว่า Position Trading
- ความเสี่ยงต่ำกว่า Day Trading
- เน้นทำกำไรจากเทรนด์ระยะยาว
- ถือครองสถานะการซื้อขายนานหลายเดือนหรือหลายปี
- ความเสี่ยงต่ำ
วิธีค้นหาว่าคุณเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน:
เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์บุคลิกและเป้าหมายทางการเงินของคุณ ศึกษาประเภทของเทรดเดอร์ ทดลองเทรดด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ แล้วเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณ
ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การเทรด:
- ข้อดี: มีโอกาสทำกำไรทุกวัน, ใช้เวลาในการเทรดน้อย
- ข้อเสีย: ความเสี่ยงสูง, ความเครียดสูง, จำเป็นต้องมีทักษะ
- ข้อดี: มีโอกาสทำกำไรทุกวัน, ใช้เวลาในการเทรดน้อย
- ข้อเสีย: ความเสี่ยงปานกลาง, ความเครียดสูง, จำเป็นต้องมีทักษะ
- ข้อดี: ความเสี่ยงต่ำ, ใช้เวลาในการเฝ้ากราฟน้อย, มีโอกาสทำกำไร
- ข้อเสีย: กำไรน้อย, ใช้เวลานาน, จำเป็นต้องมีทักษะ
- ข้อดี: ความเสี่ยงต่ำ, ใช้เวลาในการเทรดน้อย, มีโอกาสทำกำไร
- ข้อเสีย: กำไรน้อย, ใช้เวลานาน, จำเป็นต้องมีทักษะ
สิ่งสำคัญก็คือศึกษาและทำความเข้าใจประเภทของเทรดเดอร์ต่าง ๆ เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบุคลิก เป้าหมาย และผลลัพธ์ของคุณ ค้นหาให้เจอว่า “คุณคือ Trader สไตล์ไหน” ความสำเร็จในการเทรดย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
ทีมงาน Forexthai.in.th