ในตลาด Forex มีสินทรัพย์มากมายหลายชนิดที่ Broker เปิดให้เลือกเทรด เทรดเดอร์สามารถเลือกเทรดได้ตามที่ตนเองชื่นชอบ แต่มีสินทรัพย์ที่น่าลงทุน 3 ชนิด ในตลาด Forex ที่อยากนำเสนอ คือ
- USD: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยและสภาพคล่อง
- GOLD: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาด
- BRENT: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาน้ำมัน
สินทรัพย์ทั้งสามอย่างนี้ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มนักลงทุนที่เทรดกันในตลาด Forex แม้ในปัจจุบันนี้มีค่าเงินดิจิทัล Cryptocurrency ให้เลือกเทรดด้วย แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก
จะลงทุนกับ USD ต้องรู้ว่า DXY คืออะไร?
ในตลาด Forex สกุลเงิน USD มีบทบาทสำคัญมาก การที่จะลงทุนกับ USD ก็ต้องรู้ว่า DXY คืออะไร DXY คือค่าเงินดัชนีดอลลาร์สหรัฐ เป็นมาตรวัดค่าเงิน USD เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล ได้แก่
- EUR: ค่าเงินของกลุ่มยูโรโซน
- JPY: ค่าเงินเยนญี่ปุ่น
- GBP: ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
- CAD: ค่าเงินดอลลาร์แคนาดา
- SEK: ค่าเงินโครนาสวีเดน
- CHF: ค่าเงินฟรังก์สวิส
DXY ได้รับการคำนวณโดย Intercontinental Exchange (ICE) และเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1973 ดัชนี DXY มีค่า 100 ในวันที่เริ่มต้น และตั้งแต่นั้นมา การวัดค่า USD ว่าแข็งค่าหรืออ่อนค่าก็เทียบจากตัวเลขนี้

วัตถุประสงค์ของ DXY
ดัชนี DXY ของค่าเงิน USD เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้โดยนักลงทุน เทรดเดอร์ และนักวิเคราะห์เพื่อติดตามความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐ สามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ รวมถึง:
- วัดผลการลงทุน: การวัดผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนที่มีสินทรัพย์ที่ตั้งราคาเป็น USD
- ป้องกันความเสี่ยง: การป้องกันความเสี่ยงจากความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- เก็งกำไร: การเก็งกำไรเกี่ยวกับทิศทางของ USD
ปริมาณค่าเงินหลัก 6 สกุลกับ DXY
DXY เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนัก ซึ่งหมายความว่า สกุลเงินแต่ละสกุลในตะกร้ามีน้ำหนักตามความสำคัญในการค้าต่างประเทศของสหรัฐฯ น้ำหนักปัจจุบันของสกุลเงินใน DXY มีดังนี้:
- EUR: 57.6%
- JPY: 13.6%
- GBP: 11.9%
- CAD: 9.1%
- SEK: 4.2%
- CHF: 3.6%
DXY มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และสามารถซื้อขายได้ผ่านฟิวเจอร์ส ออปชั่น และสวอป
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ DXY
มีปัจจัยหลายประการที่สามารถส่งผลต่อค่าของ DXY ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด จะเพิ่มขึ้นหรือจะลดลง มีปัจจัยที่ส่งผล ดังนี้
- นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
- สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
- ความเสี่ยงทางการเมืองทั่วโลก
- อุปสงค์และอุปทานของ USD
DXY เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการติดตามความแข็งแกร่งของ USD อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าดัชนีเป็นเพียงมาตรวัดเดียว และควรใช้ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เมื่อตัดสินใจลงทุน

จะอ่านค่า DXY อย่างไร
DXY เป็นเครื่องมือติดตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ได้แก่ EUR, JPY, GBP, CAD, SEK, และ CHF มีวิธีการอ่านค่า DXY ดังนี้
- ค่า DXY เพิ่มขึ้นมากกว่า 100: หมายความว่า USD แข็งค่าขึ้นเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน
- ค่า DXY ลดลงต่ำกว่า 100: หมายความว่า USD อ่อนค่าลงเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน
- DXY อยู่ที่ 110: หมายถึง USD แข็งค่าขึ้น 10%
- DXY อยู่ที่ 90: หมายถึง USD อ่อนค่าลง 10%
การตีความหมายค่า DXY:
- DXY แข็งค่า: ดีต่อนักลงทุนที่ถือสินทรัพย์ USD, ไม่ดีต่อนักส่งออก
- DXY อ่อนค่า: ดีต่อนักส่งออก, ไม่ดีต่อนักลงทุนที่ถือสินทรัพย์ USD
การใช้ ดัชนี DXY ในการเทรด Forex
ดัชนี DXY บางครั้งนักลงทุนก็จะเรียกกันว่า ดัชนี USDX (US Dollar Index) ซึ่งจะหมายถึงดัชนีตัวเดียวกันนี่เอง สำหรับการใช้ ดัชนี DXY ในการเทรด Forex นั้น มีเทคนิค ดังนี้
วิเคราะห์แนวโน้ม:
- ดูว่า DXY อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น Moving Averages, MACD, RSI
- พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน เช่น นโยบายการเงิน เศรษฐกิจ ความเสี่ยงทางการเมือง
หาคู่สกุลเงินที่สัมพันธ์กับ DXY:
- คู่สกุลเงินที่มี USD อยู่ เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY
- คู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ทางอ้อม เช่น AUD/USD, NZD/USD, USD/CHF
เข้าซื้อหรือขายตามแนวโน้ม:
- ซื้อคู่สกุลเงินที่มี USD อยู่ เมื่อ DXY อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
- ขายคู่สกุลเงินที่มี USD อยู่ เมื่อ DXY อยู่ในแนวโน้มขาลง
- ซื้อคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ทางอ้อม เมื่อ DXY อยู่ในแนวโน้มขาลง
- ขายคู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์ทางอ้อม เมื่อ DXY อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ตั้ง Stop-Loss และ Take-Profit:
- เพื่อจำกัดความเสี่ยง
- เพื่อกำหนดเป้าหมายผลกำไร
บริหารจัดการความเสี่ยง:
- ไม่ควรลงทุนเงินทั้งหมดในเทรดเดียว
- กระจายความเสี่ยงโดยเทรดหลายคู่สกุลเงิน
- ใช้ Margin อย่างระมัดระวัง

GOLD เทรดทองคำในตลาด Forex
Gold หรือ ทองคำ เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการเทรด การเทรดทองในตลาด Forex มี 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้
เทรดทองคำผ่าน CFD (Contract for Difference):
- เป็นการซื้อขายสัญญาส่วนต่าง โดยไม่ต้องรับหรือส่งมอบทองคำจริง
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากราคาทองคำ
- มีความเสี่ยงสูง
เทรดทองคำผ่าน Spot Market:
- เป็นการซื้อขายทองคำจริง
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว
- มีความเสี่ยงปานกลาง
ทั้งสองวิธีการเทรดทองคำ สามารถทำได้ผ่านโบรกเกอร์ Forex ที่มีบริการทั่วไป ซึ่งมีเทรดเดอร์หลายคนที่ยึดการลงทุนกับ GOLD เป็นหลัก
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อราคา GOLD
การวิเคราะห์แนวโน้มของราคา GOLD สามารถทำได้ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นวิธีการคาดการณ์ทิศทางของราคาทองคำโดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
นโยบายการเงิน:
- การปรับอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลาง
- นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (QE) หรือ ตึงตัว (QT)
- ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และ ราคาน้ำมัน
สภาวะเศรษฐกิจ:
- ภาวะเศรษฐกิจโลก
- อัตราเงินเฟ้อ
- อัตราการว่างงาน
- ส่งผลต่อความต้องการทองคำ
ความเสี่ยงทางการเมือง:
- สงคราม
- เหตุการณ์ทางการเมือง
- ภัยพิบัติธรรมชาติ
- ส่งผลต่อความต้องการทองคำ

อุปสงค์และอุปทาน:
- อุปสงค์ทองคำจากธนาคารกลาง
- อุปสงค์ทองคำจากภาคเครื่องประดับ
- อุปทานทองคำจากเหมือง
- ส่งผลต่อราคาทองคำ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ:
- ทองคำมีราคาผันผวนสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์
- ค่าเงินดอลลาร์แข็ง ทองคำมีราคาอ่อนตัว
- ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ทองคำมีราคาแข็ง
ราคาน้ำมัน:
- ราคาน้ำมันและราคาทองคำมักมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
- ราคาน้ำมันขึ้น ทองคำมีราคาขึ้น
- ราคาน้ำมันลง ทองคำมีราคาลง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถนำมาช่วยในการวิเคราะห์ร่วมด้วย เช่น ความเชื่อมั่นของนักลงทุน, สภาพคล่องในตลาด, หรือความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย เป็นต้น

BRENT ทองคำสีดำในตลาด Forex
ในตลาด Forex มีสินทรัพย์ล่วงหน้าของราคา Oil (น้ำมัน) และ Brent (น้ำมันดิบ) ให้เลือกลงทุน แต่การเลือกเทรดกับ BRENT ทองคำสีดำในตลาด Forex จะมีความเสถียรกว่า ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
- BRENT เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีสีดำ
- BRENT มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
- BRENT ถูกขนส่งและซื้อขายทั่วโลก
- BRENT ราคาผันผวนตามอุปสงค์และอุปทาน
การเทรด BRENT ในตลาด Forex
การเทรดน้ำมันในตลาด Forex นั้นสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความชอบและกลยุทธ์ของเทรดเดอร์แต่ละคน ซึ่งมีวิธีการเทรด ดังนี้
Futures การเทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า:
- ซื้อหรือขายสัญญาเพื่อรับหรือส่งมอบน้ำมันในอนาคต
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไร หรือ ป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน
- มีความเสี่ยงสูง
CFD (Contract for Difference):
- ซื้อหรือขายสัญญาโดยไม่ต้องรับหรือส่งมอบน้ำมัน
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากราคาน้ำมัน
- มีความเสี่ยงสูง
ETF (Exchange Traded Fund):
- ลงทุนในกองทุนที่ติดตามราคาน้ำมัน
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว
- มีความเสี่ยงปานกลาง
Options การเทรดแบบออปชั่น:
- ซื้อหรือขายสิทธิ์ แต่ไม่ใช่ภาระผูกพัน ในการซื้อหรือขายน้ำมัน
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไร หรือ ป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน
- มีความซับซ้อน
การเทรด BRENT ในตลาด Forex เป็นการเทรดผ่านโบรกเกอร์ โดยควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ แล้วเปิดบัญชีซื้อขาย ฝากเงิน วิเคราะห์ราคาน้ำมัน แล้ววางคำสั่งซื้อขาย

เทคนิคและวิธีในการเทรด Brent
ทางด้านเทคนิคในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคา Brent ก่อนตัดสินใจเปิดออเดอร์ซื้อขายนั้น มีเทคนิค ดังนี้
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน:
- ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ OPEC+
- วิเคราะห์ GDP ของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภค
- วิเคราะห์สภาพอากาศ
การวิเคราะห์กราฟราคา:
- ใช้กราฟ candlestick chart เพื่อดูรูปแบบแท่งเทียน
- ใช้ Moving Average (MA) เพื่อดูแนวโน้ม
- ใช้ Relative Strength Index (RSI) เพื่อดูภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
กลยุทธ์การเทรด:
- กลยุทธ์ Scalping: ซื้อขายระยะสั้น ทำกำไรเล็กน้อย
- กลยุทธ์ Day Trading: ซื้อขายภายในวัน ปิดสถานะก่อนสิ้นวัน
- กลยุทธ์ Swing Trading: ซื้อขายระยะกลาง ถือสถานะ 2-3 วัน
- กลยุทธ์ Position Trading: ซื้อขายระยะยาว ถือสถานะเป็นสัปดาห์หรือเดือน
การจัดการความเสี่ยง:
- ใช้ Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
- ใช้ Money Management เพื่อควบคุมความเสี่ยง
การพยายามฝึกฝนด้วยการเทรดบนบัญชีทดลอง นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่ดี เพราะจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงเสมือนจริงได้

วิธีการเทรด Brent ในตลาด Forex
เลือกโบรกเกอร์:
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาต
- เปรียบเทียบสเปรด ค่าธรรมเนียม และแพลตฟอร์มการเทรด
เปิดบัญชี:
- เลือกประเภทบัญชีที่เหมาะสม
- ฝากเงิน
วิเคราะห์ตลาด:
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น อุปทานและอุปสงค์ นโยบายการเงิน สภาพเศรษฐกิจ
- วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค เช่น กราฟ รูปแบบแท่งเทียน อินดิเคเตอร์
วางแผนการเทรด:
- กำหนดจุดเข้าซื้อ/ขาย
- กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit
- กำหนดขนาดการเทรด
Trading:
- เลือกประเภทคำสั่งซื้อขาย
- ตรวจสอบราคาและสเปรด
- คลิกซื้อหรือขาย

ตลาดพันธบัตร ตราสารหนี้ และตลาด Forex
มีช่องทางในการลงทุนหลายช่องทาง สำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุน เรามาเปรียบเทียบความน่าสนใจในการลงทุนระหว่างตลาดพันธบัตร ตราสารหนี้ และตลาด Forex ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ดังนี้
ตลาดพันธบัตร:
- ความเสี่ยง: ต่ำ
- ผลตอบแทน: ปานกลาง
- สภาพคล่อง: สูง
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ ต้องการรายได้สม่ำเสมอ
ตราสารหนี้:
- ความเสี่ยง: หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของตราสารหนี้
- ผลตอบแทน: หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของตราสารหนี้
- สภาพคล่อง: หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของตราสารหนี้
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงปานกลาง ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าพันธบัตร
ตลาดฟอร์เร็กซ์:
- ความเสี่ยง: สูง
- ผลตอบแทน: สูง
- สภาพคล่อง: สูง
- เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง ต้องการเก็งกำไร
ปัจจัยที่ควรพิจารณา
ในการเปรียบเทียบความน่าสนใจในการลงทุนกับตลาดพันธบัตร ตราสารหนี้ และตลาด Forex นั้น เราใช้ปัจจัยที่ควรพิจารณา ดังนี้
ระดับความเสี่ยงที่รับได้:
- ตลาดพันธบัตร เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงต่ำ
- ตราสารหนี้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงปานกลาง
- ตลาดฟอร์เร็กซ์ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง
เป้าหมายการลงทุน:
- ต้องการรายได้สม่ำเสมอ: เลือกตลาดพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้
- ต้องการผลตอบแทนสูง: เลือกตราสารหนี้ หรือ ตลาดฟอร์เร็กซ์
- ต้องการเก็งกำไร: เลือกตลาดฟอร์เร็กซ์
ระยะเวลาการลงทุน:
- ระยะสั้น: เลือกตลาดฟอร์เร็กซ์
- ระยะยาว: เลือกตลาดพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้

สรุปแล้วเหมาะกับใครบ้าง
- ตลาดพันธบัตร: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ ต้องการรายได้สม่ำเสมอ
- ตราสารหนี้: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงปานกลาง ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าพันธบัตร
- ตลาดฟอร์เร็กซ์: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง ต้องการเก็งกำไรที่สูงตามไปด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับค่าเงิน
ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับค่าเงินนั้นมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยทั่วไปแล้วเมื่อค่าเงินแข็งค่า หุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น และเมื่อค่าเงินอ่อน ค่าหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลง เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้หุ้นกับค่าเงินมีความสัมพันธ์กัน ดังนี้
- การลงทุนจากต่างประเทศ: นักลงทุนต่างชาติมักลงทุนในหุ้นโดยแลกเงินสกุลท้องถิ่น เมื่อค่าเงินแข็งค่า นักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อหุ้นได้มากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
- การส่งออก: บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีรายได้จากการส่งออก เมื่อค่าเงินแข็งค่า รายได้จากการส่งออกจะเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อผลประกอบการและราคาหุ้น
- เงินทุนไหลเข้า: เมื่อค่าเงินแข็งค่า นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มที่จะนำเงินทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น

หุ้นที่สวนทางกับค่าเงิน
ดังที่กล่าวเอาไว้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับค่าเงินมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บางครั้งหุ้นกับค่าเงินก็มีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามเช่นกัน หมายความว่าดังนี้
เมื่อค่าเงินแข็งค่า
- หุ้นที่ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศจะมีราคาสูงขึ้น เพราะนักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อหุ้นได้มากขึ้น
- แต่หุ้นที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะมีราคาต่ำลง เพราะต้นทุนการนำเข้าสินค้าลดลง
เมื่อค่าเงินอ่อนค่า
- หุ้นที่ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศจะมีราคาต่ำลง เพราะนักลงทุนต่างชาติสามารถซื้อหุ้นได้น้อยลง
- แต่หุ้นที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะมีราคาสูงขึ้น เพราะต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น
กรณีค่าเงินบาทแข็งค่า
- หุ้นกลุ่มส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา มีราคาสูงขึ้น
- หุ้นกลุ่มนำเข้า เช่น ค้าปลีก น้ำมัน มีราคาต่ำลง
กรณีค่าเงินบาทอ่อนค่า
- หุ้นกลุ่มส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา มีราคาต่ำลง
- หุ้นกลุ่มนำเข้า เช่น ค้าปลีก น้ำมัน มีราคาสูงขึ้น

บทสรุป
แม้ว่าในตลาด Forex จะมีสินทรัพย์มากมายหลายชนิดให้เลือกลงทุน แต่ก็มีสินทรัพย์ 3 ชนิดที่น่าลงทุนในตลาด Forex
- USD: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยและสภาพคล่อง
- GOLD: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาด
- BRENT: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาน้ำมัน
การอ่านค่า DXY:
- DXY > 100: USD แข็งค่า
- DXY < 100: USD อ่อนค่า
กลยุทธ์การเทรด DXY:
- วิเคราะห์แนวโน้ม
- หาคู่สกุลเงินที่สัมพันธ์กับ DXY
- เข้าซื้อหรือขายตามแนวโน้ม
- ตั้ง Stop-Loss และ Take-Profit
- บริหารจัดการความเสี่ยง
การเทรดทองคำ (GOLD) ในตลาด Forex:
มี 2 วิธีหลัก:
- CFD (Contract for Difference)
- Spot Market
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน:
- นโยบายการเงิน
- สภาวะเศรษฐกิจ
- ความเสี่ยงทางการเมือง
- อุปสงค์และอุปทาน
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
- ราคาน้ำมัน
การเทรด BRENT (น้ำมันดิบ) ในตลาด Forex:
มี 4 วิธีหลัก:
- Futures
- CFD (Contract for Difference)
- ETF (Exchange Traded Fund)
- Options
เทคนิคและวิธีการเทรด:
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- วิเคราะห์กราฟราคา
- กลยุทธ์การเทรด
- การจัดการความเสี่ยง

ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับค่าเงิน:
โดยทั่วไป:
- ค่าเงินแข็งค่า -> หุ้นปรับตัวขึ้น
- ค่าเงินอ่อนค่า -> หุ้นปรับตัวลง
กรณีพิเศษ:
หุ้นส่งออก:
- ค่าเงินแข็งค่า -> ราคาสูงขึ้น (นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นได้มากขึ้น)
- ค่าเงินอ่อนค่า -> ราคาต่ำลง (นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นได้น้อยลง)
หุ้นนำเข้า:
- ค่าเงินแข็งค่า -> ราคาต่ำลง (ต้นทุนการนำเข้าลดลง)
- ค่าเงินอ่อนค่า -> ราคาสูงขึ้น (ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มขึ้น)
ทีมงาน Forexthai.in.th