Forexthai.in.th ย่อให้
- Fibonacci Channel Projections (FCP): เป็นระบบเทรดที่ใช้เส้นแนวโน้มคู่ขนานร่วมกับอัตราส่วนฟีโบนักชี เพื่อระบุแนวรับ แนวต้าน และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา
- หลักการทำงานของ FCP: สร้างเส้นแนวโน้มหลัก (Base Trendline) และขยายออกไปตามอัตราส่วนฟีโบนักชีสำคัญเพื่อหาพื้นที่ที่ราคามีแนวโน้มจะไปถึง
- วิธีใช้งาน FCP อย่างมีประสิทธิภาพ: ใช้ระบุจุดกลับตัวหรือใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายราคา
- หลักการวาด Trend Line: ใช้ Sperandeo 2B Rule และ 1-2-3 Trend Change เป็นเครื่องมือช่วยยืนยันการเปลี่ยนแนวโน้ม
- ข้อจำกัดของระบบเทรด FCP: มักจะให้สัญญาณผิดพลาดในตลาดไซด์เวย์ อีกทั้งไม่ได้ให้สัญญาณเทรดบ่อยครั้งด้วย
การใช้ Fibonacci Channel Projections เป็นเครื่องมือของระบบเทรดตัวนี้ มีประโยชน์มากในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด Forex โดยใช้เส้นแนวโน้มคู่ขนานร่วมกับอัตราส่วนตัวเลขฟีโบนักชี ซึ่งจะช่วยระบุแนวรับ แนวต้าน และคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปเรียนรู้วิธีการใช้งานระบบเทรดตัวนี้กันเลย
ข้อมูลเบื้องต้น
ระบบเทรด The Fibonacci channel projections (FCP) เป็นระบบเทรดที่ใช้เครื่องมือกำหนดระดับตัวเลขฟีโบนักชีบนกราฟราคา หลักการใช้งานระบบเทรด FCP (ขอเรียกชื่อด้วยตัวย่อนี้) มีดังนี้
1. Fibonacci Channel คืออะไร?
Fibonacci Channel เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้เส้นแนวโน้มคู่ขนานร่วมกับอัตราส่วนฟีโบนักชี (Fibonacci Ratios) เพื่อคาดการณ์แนวรับและแนวต้านในแนวโน้มของราคา ใช้ในการระบุจุดกลับตัว แนวรับ-แนวต้าน และการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
2.หลักการทำงานของ Fibonacci Channel
Fibonacci Channel ใช้การสร้างเส้นแนวโน้ม (Trendline) และขยายออกไปตามอัตราส่วนฟีโบนักชีที่สำคัญ เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, 100%, 161.8% เพื่อหาพื้นที่ที่ราคามีแนวโน้มจะวิ่งไปถึง
3. วิธีใช้งาน Fibonacci Channel Projections
- ใช้คาดการณ์แนวโน้ม: ใช้ระบุจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวหรือทะลุแนวต้าน
- ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: ควรใช้ร่วมกับ RSI, MACD หรือรูปแบบแท่งเทียนเพื่อยืนยันแนวโน้ม
- กำหนดเป้าหมายราคา (Price Targeting): เมื่อราคาทะลุแนวต้านที่เส้น Fibonacci หนึ่งไปได้ ก็มักจะเคลื่อนไหวไปยังเส้นถัดไป
4.ข้อดีของระบบเทรด FCP
- ช่วยหาพื้นที่แนวรับและแนวต้านได้ชัดเจน
- ใช้ได้ทั้งแนวโน้มขาขึ้นและขาลง
- สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำยิ่งขึ้นได้

หัวใจสำคัญของ FCP คืออะไร
หัวใจสำคัญของ FCP มีอยู่ 3 ประเด็นหลักที่ควรทำความเข้าใจ ได้แก่
1. โครงสร้างแนวโน้มและการวางแนวเส้น
FCP เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการระบุ แนวรับ-แนวต้าน แบบไดนามิก โดยใช้ เส้นแนวโน้มคู่ขนาน ซึ่งอิงกับอัตราส่วนฟีโบนักชี
หลักสำคัญในการวางเส้น
- ต้องเริ่มจากการกำหนด เส้นแนวโน้มหลัก (Base Trendline) ซึ่งเชื่อมต่อ จุดต่ำสุด-สูงสุด ของแนวโน้มขาขึ้น หรือจุดสูงสุด-ต่ำสุด ของแนวโน้มขาลง
- เส้นแนวโน้มนี้เป็นแกนหลักที่ใช้ในการสร้างช่อง Fibonacci Channel

2.ระดับ Fibonacci Projection
Fibonacci Channel ใช้อัตราส่วนฟีโบนักชีเพื่อสร้าง เส้นแนวต้าน-แนวรับ ในอนาคต โดยระดับ Fibonacci ที่สำคัญ ที่ใช้โดยทั่วไปคือ
- 0% : เส้นแนวโน้มหลัก
- 23.6% : แนวรับ/แนวต้าน ระยะสั้น
- 38.2% : แนวโน้มมักจะพักตัวที่จุดนี้
- 50% : ระดับกลางที่สำคัญ
- 61.8% : จุดกลับตัวที่แข็งแกร่ง
- 100% : เป้าหมายแนวต้านหลัก
- 161.8% : และสูงกว่า ยิ่งระดับสูงขึ้น โอกาสที่ราคาจะชนและกลับตัวก็เพิ่มขึ้น
3. การนำไปใช้จริง
FCP สามารถใช้ได้ทั้งแนวโน้มขาขึ้นและขาลง โดยมีหลักในการใช้งานดังนี้
- กำหนดแนวรับและแนวต้าน
- ใช้เส้น Fibonacci Channel เป็นจุดเข้าเทรด (Buy/Sell)
- ถ้าราคาเด้งจากเส้น Fibonacci Channel อาจเป็นจุดเข้า
- ถ้าราคาทะลุแนว Fibonacci อาจเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม
- ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น
- ควรใช้ร่วมกับ RSI, MACD, Volume Analysis เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- คอนเฟิร์มสัญญาณเมื่อราคาทะลุ แนวรับ/แนวต้าน และได้รับการยืนยันจากอินดิเคเตอร์อื่น
- ตั้งเป้าหมายราคาด้วย Fibonacci Extensions
- หากราคาทะลุ 100% มักมีโอกาสไปต่อถึง 161.8% หรือสูงกว่า
- ใช้กำหนดเป้าหมายการทำกำไร (Take Profit) ในแนวโน้มระยะยาว

ความสัมพันธ์ระหว่างราคากับ TL (Trend Line) และ Fibonacci
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ราคา, ระดับแนวรับแนวต้าน (TL – Trend Line) และ Fibonacci สามารถพิจารณาได้ ดังนี้
TL (Trend Line)
เส้น TL หรือเส้นเทรนด์ไลน์ เกิดขึ้นจากการลากจุด แนวรับหรือแนวต้านสองจุดเข้าหากัน
- แนวรับ (Support) คือ ระดับราคาที่มักจะมีแรงซื้อเข้ามาช่วยพยุงราคาไม่ให้ลดลงไปมากกว่านี้
- แนวต้าน (Resistance) คือ ระดับราคาที่มักจะมีแรงขายเข้ามากดดันไม่ให้ราคาขึ้นไปต่อ
การลากเส้น TL สามารถช่วยระบุแนวโน้มของราคาได้ เช่น แนวโน้มขาขึ้น (ลากเส้นใต้ราคาที่มีจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ) หรือแนวโน้มขาลง (ลากเส้นเหนือราคาที่มีจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ)
Fibonacci Retracement
เป็นเครื่องมือที่ใช้หาแนวรับแนวต้านสำคัญ โดยอ้างอิงจากเลขสัดส่วน Fibonacci
- ใช้เพื่อระบุว่าราคาอาจเด้งกลับที่ระดับไหนหลังจากเกิดการปรับฐาน (Pullback)
- ระดับยอดนิยมที่เทรดเดอร์มักจับตาคือ 38.2%, 50%, และ 61.8%
ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ราคา, TL, และ Fibonacci
- หากราคามาถึง แนวรับ/แนวต้าน (TL) และเกิด Price Action (เช่นแท่งเทียนกลับตัว) ตรงกับระดับ Fibonacci สำคัญอาจเป็นจุดกลับตัวที่น่าสนใจ
- หาก TL และระดับ Fibonacci ตรงกันในจุดเดียวกัน (Confluence) จะเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง
- ถ้าราคาทะลุ TL และระดับ Fibonacci ไปได้ อาจแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม

Victor Sperandeo (Trader Vic) คือใคร?
Victor Sperandeo หรือที่รู้จักในชื่อ Trader Vic คือผู้ที่พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการวาด Trend Line (TL) และวิธีใช้เพื่อจับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม ซึ่งเป็นที่นิยมมากในกลุ่มเทรดเดอร์สายเทคนิค โดยมีหลักการดังนี้
หลักการวาด Trend Line ตามแนวคิดของ Sperandeo
- ใช้จุดสูงสุดหรือต่ำสุด (Higher Lows, Lower Highs) เพื่อสร้างเส้นแนวโน้ม
- ต้องมีอย่างน้อย 2 จุดสัมผัสเกิดขึ้นก่อนที่เส้น TL จะน่าเชื่อถือ
- เส้นแนวโน้มต้องชันพอสมควร (ประมาณ 30–45 องศา)
- ในแนวโน้มขาขึ้น: วาด TL ผ่าน จุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ (Higher Lows)
- ในแนวโน้มขาลง: วาด TL ผ่าน จุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ (Lower Highs)
วิธีใช้ Sperandeo 2B Rule และ 1-2-3 Trend Change
Trader Vic มีแนวคิด 2 รูปแบบหลักในการจับสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม ได้แก่ 2B Rule และ 1-2-3 Trend Change ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถแยกแยะระหว่างการปรับฐาน (Pullback) กับการกลับตัวของแนวโน้ม (Reversal) ได้อย่างแม่นยำ

2B Rule (2B Top / 2B Bottom)
ใช้เพื่อจับสัญญาณ “Breakout หลอก” และการกลับตัวของราคา โดยมีหลักการของ 2B Rule ดังนี้
- ราคา ทะลุจุดสูงสุด (High) หรือจุดต่ำสุด (Low) เดิม
- แต่ไม่สามารถไปต่อ และกลับ ลงหรือขึ้น มาปิดในกรอบเดิม
- สิ่งนี้แสดงว่าเป็น การหลอกให้เข้าออเดอร์ผิดทิศทาง และมีโอกาสกลับตัวสูง
- เข้าเทรดเมื่อราคากลับเข้ามาในกรอบเดิม พร้อมตั้ง Stop Loss เหนือหรือใต้ จุดสูงสุด-ต่ำสุดใหม่
ตัวอย่าง 2B Top (กลับตัวเป็นขาลง)
- ราคา ทำ New High ทะลุ High เดิม
- แต่ไม่สามารถไปต่อ และกลับลงมาปิดต่ำกว่า High เดิม
- เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มอาจเปลี่ยนจาก ขาขึ้นเป็นขาลง
- เข้า Sell เมื่อลงมาต่ำกว่ากรอบ High เดิม
- ตั้ง TP ที่แนวรับถัดไป และ SL เหนือ High ใหม่
ตัวอย่าง 2B Bottom (กลับตัวเป็นขาขึ้น)
- ราคา ทำ New Low ทะลุ Low เดิม
- แต่ไม่สามารถไปต่อ และกลับขึ้นมาปิดเหนือ Low เดิม
- เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มอาจเปลี่ยนจาก ขาลงเป็นขาขึ้น
- เข้า Buy เมื่อตัดขึ้นเหนือกรอบ Low เดิม
- ตั้ง TP ที่แนวต้านถัดไป และ SL ใต้ Low ใหม่

1-2-3 Trend Change
ใช้เพื่อยืนยันว่า แนวโน้มเปลี่ยนจริง ไม่ใช่แค่การพักตัว โดยหลักการของ 1-2-3 Trend Change
ต้องมีเงื่อนไขก่อนแนวโน้มจะเปลี่ยนคือ
- จากขาขึ้นเป็นขาลง (Bearish Reversal)
- เกิดจุดสูงสุดใหม่ (New High) แนวโน้มยังเป็นขาขึ้น
- ราคา Pullback แต่ไม่สามารถทำ New High ได้ เริ่มแสดงสัญญาณอ่อนแรง
- ราคา Break แนวรับเดิม (Break Structure) ยืนยันว่าแนวโน้มเปลี่ยนเป็นขาลง
- เข้า Sell เมื่อราคาเบรกแนวรับของจุดที่ 2
- TP ตามแนวรับสำคัญ, SL เหนือจุดที่ 2
- จากขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal)
- เกิดจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) แนวโน้มยังเป็นขาลง
- ราคา Pullback แต่ไม่สามารถทำ New Low ได้ เริ่มแสดงสัญญาณกลับตัว
- ราคา Break แนวต้านเดิม (Break Structure) ยืนยันว่าแนวโน้มเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
- เข้า Buy เมื่อราคาเบรกแนวต้านของจุดที่ 2
- TP ตามแนวต้านสำคัญ, SL ใต้จุดที่ 2
เงื่อนไขการเทรด
เมื่อใช้ FCP เป็นระบบเทรด เงื่อนไขสำหรับการเข้าเทรด (Entry Conditions) ที่ชัดเจนสำหรับการเข้าและออกจากการซื้อ (BUY) และขาย (SELL) เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยง มีดังนี้

จุดเข้าเทรดฝั่ง BUY (Long Entry)
- ราคาลงมาทดสอบเส้นแนวรับ Fibonacci Channel ที่ระดับสำคัญ เช่น 38.2%, 50%, หรือ 61.8% แล้วมีแรงซื้อกลับ (Price Action ที่แสดงการกลับตัว เช่น Pin Bar, Bullish Engulfing)
- อินดิเคเตอร์ช่วยยืนยันแนวโน้มขาขึ้น เช่น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line
- สามารถตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุด Swing Low ล่าสุด 5-10 pips (หรือตาม ATR)
- ตั้ง Take Profit ไว้ที่แนวต้าน Fibonacci Channel ถัดไป เช่น 100%, 161.8%

จุดเข้าเทรดฝั่ง SELL (Short Entry)
- ราคาขึ้นไปทดสอบแนวต้าน Fibonacci Channel ที่ระดับสำคัญ เช่น 100%, 161.8% แล้วมีแรงขายกลับ (Price Action แบบ Bearish เช่น Shooting Star, Bearish Engulfing)
- อินดิเคเตอร์ช่วยยืนยันแนวโน้มขาลง เช่น MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal Line
- ตั้ง Stop Loss เหนือจุด Swing High ล่าสุด 5-10 pips
- ตั้ง Take Profit ไว้ที่แนวรับ Fibonacci Channel ถัดไป เช่น 50%, 38.2%
จุดอ่อนของระบบเทรด
แม้ว่า Sperandeo 2B Rule และ 1-2-3 Trend Change จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการจับจังหวะกลับตัวของแนวโน้ม แต่ก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องระวัง ดังนี้
- ไม่สามารถใช้ได้ดีในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม
- ปัญหาหลักของระบบนี้คือเหมาะสำหรับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน หากใช้ในช่วงที่ตลาดไม่มีแนวโน้มหรือมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงแบบไร้ทิศทาง อาจเกิดสัญญาณเท็จบ่อยครั้ง
- การตั้ง SL ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ขาดทุนบ่อย
- หากตั้งค่าจุดหยุดขาดทุน SL ใกล้เกินไป อาจทำให้โดนปิดออเดอร์ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มที่คาดหวัง ในทางกลับกันหากตั้งจุดหยุดขาดทุนไกลเกินไป อาจทำให้ขาดทุนมากเกินความจำเป็นก็ได้
- ระบบนี้ไม่ได้ให้สัญญาณเทรดบ่อยครั้ง
- เนื่องจากต้องรอเงื่อนไขการกลับตัวของแนวโน้มให้ครบถ้วนก่อนเข้าออเดอร์ ทำให้บางครั้งอาจไม่มีโอกาสในการเทรดมากพอ เทรดเดอร์ที่ชอบเข้าออเดอร์บ่อยอาจรู้สึกว่าระบบนี้ไม่เหมาะกับสไตล์การเทรดของตนเอง

สรุป
ระบบเทรด FCP เป็นเครื่องมือที่ใช้เส้นแนวโน้มคู่ขนานร่วมกับอัตราส่วนฟีโบนักชีเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด คาดการณ์แนวรับ แนวต้าน และจุดกลับตัวของราคา โดยมีระดับ Fibonacci Projection สำคัญ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดจุดเข้าและออกจากการเทรดได้แม่นยำมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระบบ FCP มีข้อจำกัด เช่น อาจให้สัญญาณเท็จในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน และอาจไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการเข้าออเดอร์บ่อย ๆ ดังนั้น การใช้ระบบนี้ควรใช้ร่วมกับการตั้งจุดหยุดขาดทุน SL และทำกำไร TP อย่างเหมาะสม เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวที่ดีด้วย
ทีมงาน: forexthai.in.th