Forexthai.in.th ย่อให้
- แนวคิดหลักของระบบ: ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน (Correlation) และราคาที่เบี่ยงเบนจากกัน (Spread) ร่วมกับการ Hedge เพื่อลดความเสี่ยง หรือทำกำไรในตลาดที่ผันผวน
- การเข้าเทรด: เทรดคู่ที่มีความสัมพันธ์กันสูง เมื่อ Spread เบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ย เมื่อคู่หลักมีสัญญาณ และคู่ที่สัมพันธ์สนับสนุนทิศทางเดียวกัน
- วิธีการออกจากเทรด: เมื่อราคาเลือกทางแน่ชัด เมื่อคู่รองให้สัญญาณกลับทิศ หรือราคาวิ่งครบเป้าหมาย
- จุดอ่อนที่ควรระวัง: การล็อคพอร์ตนานเกินไปจะกิน Margin Spread หรือ Correlation เปลี่ยนทิศแบบไม่คาดคิดตามข่าวหรือเศรษฐกิจเฉพาะประเทศ
- การใช้เทรด Forex: เป็นระบบที่ดี มีกำไรเมื่อทำตามแผน แต่ระบบจะอันตรายเมื่อออกนอกแผน
ระบบเทรดตัวนี้ใช้การผสมผสานเทคนิคการเทรดแบบ Hedge, Correlation Strategy, และ Spread Trading ร่วมกัน ซึ่งเป็นวิธีการเทรดที่มีความเสี่ยงน้อยมากในการเทรดแต่ละครั้ง จะเรียกว่าเป็นวิธีล็อคกำไรให้อยู่ในมือก็ว่าได้ จะใช้เทคนิคการเทรดตัวนี้ได้อย่างไรนั้น ไปดูวิธีใช้กันเลย
ข้อมูลเบื้องต้น
ระบบเทรด Hedge and Correlation Strategy เป็นระบบเทรดที่ใช้องค์ประกอบในการวางแผนก่อนการเทรด 3 ส่วนร่วมกันคือ
- Hedge: วิธีป้องกันความเสี่ยง
- Correlation Strategy: ความสัมพันธ์ของราคาสินทรัพย์
- Spread Trading: การเทรดบนส่วนต่างของสินทรัพย์
การเทรดแบบ Hedge คืออะไร?
การเทรดที่เรียกว่า “Hedge” เป็นวิธี “ป้องกันความเสี่ยง” อย่างหนึ่งนะครับ เป็นกลยุทธ์ที่เทรดเดอร์จะเปิดออเดอร์ (Buy) และขาย (Sell) ในสินทรัพย์เดียวกันหรือสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กัน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด

การ Hedge ในตลาด Forex
วิธีการที่ว่านี้ เป็นการ “ล็อคสถานะ” หรือ “คุมความเสี่ยงชั่วคราว” เพื่อรอจังหวะปลด Hedge ตอนเห็นเทรนด์ของตลาด Forex ที่ชัดเจนอีกที ดังนี้
- สมมติว่าเราจะเทรด EUR/USD:
- เบื้องต้นเรามีออเดอร์อยู่แล้วคือ Buy EUR/USD ที่ราคา 1.0800 เพราะคาดว่าจะขึ้น
- ต่อมาตลาดเริ่มผันผวนและมีข่าวสำคัญ จึงต้องเปิด Sell EUR/USD คู่เงินเดียวกันที่ราคา 1.0830 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกลับตัว นี่คือการ Hedge
- ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น:
- ถ้าราคาพุ่งขึ้น: จะได้กำไรจากออเดอร์ Buy แต่จะขาดทุนจาก Sell
- ถ้าราคาลง: จะขาดทุนจากออเดอร์ Buy แต่จะได้กำไรจาก Sell
ข้อดีของการ Hedge
- ป้องกันความเสี่ยงระยะสั้นได้
- ใช้ได้ดีตอนข่าวแรง ๆ หรือตลาดผันผวนหนัก
- ช่วยรักษาทุนไม่ให้ล้างพอร์ตเร็วเกินไป
ข้อควรระวัง
- อาจจะทำให้พอร์ต “ติดล๊อค” หากไม่มีการวางแผนปลด hedge ที่ดี
- อาจต้องเสียค่าธรรมเนียม Swap หรือ Spread สองทางเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ Hedging กับข่าว
การเทรดด้วยกลยุทธ์ Hedging กับข่าวการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ นี่คือวิธีการฉวยโอกาสทำกำไรจาก Forex ได้ค่อนข้างชัวร์ องค์ประกอบที่เหมาะสำหรับการเทรดนี้คือ
- ข่าวแรง ๆ: เช่น Non-Farm Payroll, FOMC, หรือ CPI
- คู่เงินหลัก: เช่น EUR/USD, GBP/USD, หรือ XAU/USD
แนวคิดที่ใช้
เป็นการใช้กลยุทธ์ Hedge เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนขนาดใหญ่ระหว่างข่าว โดยไม่ต้องคาดเดาทิศทางว่าจะขึ้นหรือลง ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
- ก่อนข่าว 5-10 นาที: ให้ทำการเปิด 2 ออเดอร์พร้อมกันในคู่เดียวกันคือ:
- Buy EUR/USD 1 Lot
- Sell EUR/USD 1 Lot
- รอข่าวออก: ข่าวออกปุ๊บ มักจะมีการ “Break Out” ขนาดใหญ่ไปทางใดทางหนึ่ง เช่นพุ่งขึ้น 100-150 pips
- เมื่อราคา Break ชัดเจน: ปิดฝั่งที่ขาดทุน (เช่น Sell) ถือฝั่งที่วิ่งต่อ (เช่น Buy)
- Trailing Stop: เพื่อเก็บกำไรจาก Momentum

ตัวอย่าง
ข่าว NFP วันศุกร์ EUR/USD ราคาอยู่ที่ 1.0850
- Buy @ 1.0850
- Sell @ 1.0850
หลังจากข่าวออกปรากฏว่า EUR/USD พุ่งแรงขึ้นไป 1.0870 ให้ทำการปิด Sell ที่ขาดทุน -70 pips แล้วถือต่อ Buy โดยตั้ง TP ที่ 1.0900 หรือใช้ Trailing Stop ในการทำกำไรก็ได้
Correlation Strategy คืออะไร
ความหมายของ Correlation คือ “ความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ 2 ตัว” การตีความจากค่า Correlation จะมีดังนี้:
- มีค่า +1.0 = ความสัมพันธ์ทางเดียวกันเต็ม 100%
- มีค่า -1.0 = ความสัมพันธ์ตรงข้ามกันเต็ม 100%
- มีค่า 0.0 = ไม่สัมพันธ์กันเลย

Correlation Strategy ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
ในการหาโอกาสทำกำไรจากตลาด Forex ด้วยการใช้ Correlation Strategy นั้น มีวิธีในการใช้ ดังนี้
- ใช้ร่วมกับ Hedge
เทรดเดอร์สามารถใช้ร่วมกับ Hedge โดยอิงจากคู่เงินที่มี ความสัมพันธ์แบบลบ ตัวอย่างเช่น:
-
- คุณถือ Buy EUR/USD
- แล้ว Hedge ด้วย Buy USD/CHF (เพราะมี Correlation ตรงข้ามกับ EUR/USD)
- ผลลัพธ์:
- ถ้า EUR/USD วิ่งลง USD/CHF มักจะขึ้น อย่างนี้สามารถทำ Hedge ไว้ได้ เป็นการ Hedge ด้วย “คู่ที่สัมพันธ์กัน” แทนที่จะ Hedge แบบตรงตัว (คู่เดียวกัน) เพราะบางโบรกไม่ให้เปิด Buy/Sell พร้อมกันในคู่เดียว
- ใช้ร่วมกับ Spread Trading
กลยุทธ์ Spread นั้นจริง ๆ แล้วคือการเอา “Correlation ที่ผิดเพี้ยนไปชั่วคราว” มาเทรด ตัวอย่างเช่น:
-
- EUR/USD กับ GBP/USD มี Correlation +0.90
- วันหนึ่ง EUR/USD พุ่ง 100 pips แต่ GBP/USD ขึ้นแค่ 30 pips
- วิธีการเข้าเทรด
เหตุการณ์ที่ยกมานี้คือมี Divergence เกิดขึ้น คุณสามารถเทรดได้ ดังนี้:
-
- Sell EUR/USD
- Buy GBP/USD
ที่ต้องเทรดอย่างนี้เพราะมีแนวโน้มสูงที่ EUR/USD จะอ่อนลง หรือ GBP/USD จะตามวิ่งขึ้นตามมาได้ เมื่อ Correlation กลับมาเป็นปกติ ก็จะได้กำไรนั่นเอง
เครื่องมือวัด Correlation
มีแหล่งเครื่องมือเพื่อใช้ในการวัด Correlation แบบฟรี ๆ หลายที่ด้วยกัน ดังนี้
- Myfxbook: ที่เมนู Correlation Matrix (เว็บฟรี)
- TradingView: ในส่วน Indicator เช่น:
- Correlation Coefficient
- Multi-Symbol Chart หรือ Spread Indicator
- MT4/MT5: จะมี EA หรือ Script สำหรับวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ให้ใช้ได้ฟรีหลายตัวเช่นกัน
การเทรดแบบ Spread Trading คืออะไร?
Spread Trading คือการเทรดบน ส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ 2 ตัว โดยอาศัยความสัมพันธ์หรือ “Correlation” ของคู่เงิน เช่นเทรด EUR/USD กับ GBP/USD หรือ USD/JPY กับ CHF/JPY
ตัวอย่าง Spread Trading
- ขอยกตัวอย่างการเทรดคู่ที่มีความสัมพันธ์กันสูง เช่น EUR/USD กับ GBP/USD
- สมมุติ EUR/USD ขึ้นเร็วมาก แต่ GBP/USD ขึ้นช้ากว่า
สิ่งที่เทรดเดอร์ควรจะทำคือ: Buy GBP/USD และ Sell EUR/USD
- สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือจะได้กำไรถ้า GBP/USD ยังปรับตัวขึ้นอยู่ และ EUR/USD เริ่มอ่อนแรงหรือมีการพักตัว ซึ่งจะเป็นจังหวะที่ส่วนต่างราคากลับมามีความสมดุลกันนั่นเอง
จุดเด่นของ Spread Trading
- ใช้โอกาสจากความ “ไม่สมดุลชั่วคราว” ระหว่างคู่เงิน
- มีความเสี่ยงน้อยกว่าการเทรดทางเดียว (Directional)
- เหมาะสำหรับภาวะตลาด Sideway หรือเมื่อคาดว่า “ส่วนต่าง” จะกลับเข้าสู่สภาพปกติ
ข้อควรระวัง
- ต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของคู่เงินอย่างลึกซึ้ง
- ต้องมีการคำนวณ Lot size ให้เหมาะสม (ไม่งั้นจะเทรดเหมือน Directional โดยไม่ตั้งใจ)

ตัวอย่างกลยุทธ์ Spread Trading
การเทรดด้วยกลยุทธ์นี้ ขอยกตัวอย่างจากความสัมพันธ์เชิงบวกของคู่เงิน “EUR/GBP Divergence Strategy” นะครับ โดยที่
- EUR/USD และ GBP/USD มีความสัมพันธ์เชิงบวก (Correlation สูง)
- ใช้เวลาเช็ก divergence หรือความ “ไม่สัมพันธ์” ชั่วคราว
ขั้นตอนการใช้งาน
- ใช้ Indicator วัด Spread หรือสร้าง Spread Chart เช่น สร้างกราฟว่า:
- Spread = EUR/USD – GBP/USD
- เมื่อ Spread กว้างเกินค่าเฉลี่ย (Mean Divergence) ให้เข้าออเดอร์สวน เช่น:
- หาก EUR/USD แรงเกินไป หรือ Spread บวกมาก
- Sell EUR/USD
- Buy GBP/USD
- หาก GBP/USD แรงเกินไป หรือ Spread ติดลบมาก
- Buy EUR/USD
- Sell GBP/USD
- ตั้ง TP เมื่อ Spread กลับสู่ค่าเฉลี่ย (Mean Reversion) หรือปิดเมื่อได้กำไรจากส่วนต่าง 20-40 pips โดยรวม
เงื่อนไขการเทรด
สำหรับเงื่อนไขในการเข้าเทรดและการออกจากการเทรด มีดังนี้
- ใช้ Spread Trading Strategy (เล่นส่วนต่าง) ในการกำหนดคู่เงินเข้าเทรด
- ใช้วิธี Hedge Strategy (ล็อกความเสี่ยง) ในการเปิดออเดอร์
- ใช้ Correlation ช่วยยืนยันในการทำกำไร

เงื่อนไขการเข้า Buy
- ตลาดมีแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนแต่มีความเสี่ยงเกิดการกลับตัวหรือข่าวแรงใกล้จะออก
- มองหา Spread (เช่น EUR/USD – GBP/USD) ที่ติดลบมากเกินไป (ต่ำกว่า Mean – 2SD)
- เลือกคู่ที่สัมพันธ์กันสูง (เช่น GBP/USD) มีสัญญาณ Buy เช่นเดียวกัน
- ให้เข้า Buy EUR/USD เมื่อคู่รองยืนยันสัญญาณ

เงื่อนไขการเข้า Sell
- ตลาดมีแนวโน้มขาลงชัดเจนแต่คาดว่าอาจเกิดการรีบาวด์
- มองหา Spread ที่บวกมากเกินไป (สูงกว่า Mean + 2SD)
- เลือกคู่ที่สัมพันธ์กันสูง (เช่น GBP/USD) มีสัญญาณ Sell เช่นเดียวกัน
- ให้เข้า Sell EUR/USD เมื่อคู่รองยืนยันสัญญาณ
วิธีออกจากเทรด
- เมื่อ Spread กลับสู่ค่าเฉลี่ย (Mean)
- หรือเมื่อได้กำไรรวมตามเป้า (เช่น +30 pips ทั้งคู่รวมกัน)
- หรือปิดเมื่อสัญญาณของ “ทั้งคู่” เปลี่ยนเป็นฝั่งตรงข้าม
- ใช้ Trailing Stop ถ้าราคาเริ่มวิ่งต่อเนื่อง

จุดอ่อนของระบบ
จุดอ่อนของแต่ละรูปแบบการเทรด (Hedge, Spread, Correlation) ที่ควรจะใส่ใจ มีดังนี้
- จุดอ่อนของ Hedge Strategy:
-
- ต้นทุน Swap/Spread สูง การเปิด Buy/Sell พร้อมกันจะเสียค่า Swap หรือ Spread ทั้งสองฝั่ง
- หากไม่กล้า “ปลด Hedge” ในเวลาที่ควร ระบบจะกลายเป็น “กับดักทางจิตใจ” ก็จะถือค้างจนไม่กล้า Cut Loss
- จุดอ่อนของ Spread Trading Strategy:
-
- Correlation ที่เคยสัมพันธ์ อาจเปลี่ยนทิศชั่วคราวตามข่าวประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่น Brexit ทำ GBP เคลื่อนไหวแยกจาก EUR เป็นต้น
- ต้องวิเคราะห์เชิงสถิติให้ลึกพอ Spread ที่ดูเบี่ยงเบน อาจไม่ใช่ “โอกาส” เสมอ บางครั้งคือ “การเปลี่ยนโครงสร้างตลาด” ก็ได้
- จุดอ่อนของ Correlation Strategy:
-
- ยิ่งวิเคราะห์หลายคู่ยิ่งสับสน ถ้าดู Correlation หลายคู่มากไป อาจวิเคราะห์จนเทรดไม่ออก
- ใช้ไม่ได้กับคู่เงิน Exotic หรือ Cross บางกลุ่ม เช่น EUR/TRY กับ AUD/JPY เนื่องจากมีความสัมพันธ์ไม่แน่นอน
สรุป
ภาพรวมของระบบเทรดที่นำเอา Hedge, Spread Trading และ Correlation Strategy แบบครบถ้วนมาใช้ในการเทรด Forex ร่วมกัน ถือว่าได้ผลลัพธ์จากการทำตามระบบที่ดีมากทีเดียว เป็นระบบเทรดที่ดี สามารถทำกำไรได้เมื่อทำตามแผน แต่ระบบก็มีความอันตรายที่ทำให้ขาดทุนได้เช่นกัน เมื่อออกนอกแผน
ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงจะทำได้ด้วยความมีวินัยบวกกับการวางแผนล่วงหน้าที่ชัดเจน และไม่ออกจากแผนที่วางเอาไว้แล้ว ระบบเทรดจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้นั่นเอง
ทีมงาน: forexthai.in.th