forexthai.in.th ย่อให้

  • ตลาด Forex: เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันทั้งทางตรงและทางอ้อม การแลกเปลี่ยนเงินตรา ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตลาด
  • คู่เงินหลัก: คู่เงินที่มีปริมาณซื้อขายมากที่สุด มี GDP ขนาดใหญ่ เป็น Major Currency Pair คือ ยูโร (EUR), ดอลลาร์สหรัฐ (USD), เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP)
  • เวลาตลาด: ตลาด Forex สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ เพราะตลาดเปิดทับซ้อนกัน ซึ่งแต่ละช่วงเวลา กราฟจะมีการเคลื่อนที่แตกต่างกัน
  • โบรกเกอร์: มี 2 ประเภท คือ A-Book และ B-Book
    • ประเภท A ส่งตลาด 100% ทำถูกต้องตามกฎหมาย
    • ประเภท B อาจจะส่งหรือไม่ส่งก็ได้ ความเสี่ยงค่อนข้างสูง
  • การวิเคราะห์: สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ 2 ปัจจัย คือปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค และวิธีเทรด 3 รูปแบบ คือการเทรดด้วยมือ ใช้เครื่องมือช่วยเทรด (EA) หรือใช้กลยุทธ์ในการเข้าเทรด
สรุป! ทุกเรื่องเกี่ยวกับ Forex Trading
สรุป! ทุกเรื่องเกี่ยวกับ Forex Trading

Trading Forex คือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยนำสกุลเงินหนึ่ง ไปแลกเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง เก็งกำไรส่วนต่างของราคาที่เกิดขึ้น ผ่านตัวกลางที่เรียกกว่า “โบรกเกอร์” ความจริงแล้ว Forex เกี่ยวข้องกับทุก ๆ คน ในทุก ๆ ที่ ตัวอย่าง Forex นั้นได้แก่

อะไรเกี่ยวข้องกับ Forex บ้าง
ตลาด Forex เกี่ยวข้องกับเราในทุก ๆ ที่ ทั้งการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ธุรกิจนำเข้าส่งออก การซื้อขายเพื่อเก็งกำไร หรือสินค้าราคาถูกหรือแพง ล้วนมาจากต้นทุนในการนำเข้า ส่วนหนึ่งมาจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเช่นกัน

 

  • แลกเปลี่ยนสกุลเงิน: แลกเพื่อใช้งาน เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ จำเป็นที่จะต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เพื่อชำระสินค้าหรือบริการ รวมถึงซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างประเทศ
  • ธุรกิจนำเข้า ส่งออก: รับเงินค่าสินค้าเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ก่อนที่จะนำไปแลกมาเป็นสกุลเงินบาทในภายหลัง
  • ซื้อขายเพื่อเก็งกำไร: ตลาด Forex คือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา ที่นักลงทุนทั่วโลก สถาบันการเงิน หรือกองทุนขนาดใหญ่ทั่วโลก เข้ามาเทรดเพื่อเก็งกำไร

การซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เกิดขึ้นได้ทุก ๆ ที่ ไม่เฉพาะการซื้อขายเพื่อการเก็งกำไรเท่านั้น แม้ไม่ได้ซื้อขายผ่านตลาดโดยตรง ก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ดี สินค้านำเข้าถูกหรือแพง ส่วนหนึ่งก็มาจากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน

เราทุกคน ล้วนมีความเกี่ยวข้อง หรือเป็นส่วนหนึ่งกับตลาด Forex ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ประวัติและความเป็นมาของตลาด Forex

ตลาด Forex มีมานานมาก พร้อม ๆ กับการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ โดยตลาด Forex ถูกสร้างขึ้นและมีการซื้อขายกันครั้งแรกที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อประมาณ 500 กว่าปีที่แล้ว สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อย่างมีอิสระ และยังมีส่วนทำให้การแลกเปลี่ยนเงินตรา มีเสถียรภาพมากขึ้น

ในยุคแรกของการซื้อขายเพื่อเก็งกำไร เสมือนเป็นเกมการเงินของคนรวย คือผู้เทรดจะต้องมีเงินทุนถึง 100,000 USD เป็นอย่างน้อย เพราะขนาดสัญญา 1 Lot = 100,000 USD

ในปัจจุบัน เทรดเดอร์หรือนักลงทุนทั่วไป สามารถเทรดได้โดยผ่านตัวกลาง ที่เรียกกว่า “โบรกเกอร์” โดยให้บริการขนาดสัญญาที่มีขนาดเล็กกว่านั้น และมีการนำ Leverage เข้ามาใช้ เทรดเดอร์หรือนักลงทุนรายย่อย จึงสามารถเข้ามาเทรดสัญญาขนาดใหญ่ได้ โดยใช้เงินเพียงหลักร้อยหรือหลักพันเท่านั้น

เทรดเดอร์รายย่อย เข้าถึงตลาด Forex โดยผ่านตัวกลางที่เรียกว่า "โบรกเกอร์"
เทรดเดอร์รายย่อย เข้าถึงตลาด Forex โดยผ่านตัวกลางคือ “โบรกเกอร์” สามารถเข้าเทรดด้วยทุนเริ่มต้นเพียงหลักร้อยหรือหลักพัน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่จะต้องใช้เงินสูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ผู้เล่นที่สำคัญในตลาด Forex มีใครบ้าง

การซื้อขายสกุลเงิน หรือตลาด Forex ผู้เล่นที่สำคัญ แม้ไม่ได้เก็งกำไรโดยตรง แต่ยังส่งผลโดยอ้อม

ผู้เล่นที่สำคัญในตลาด Forex มีใครบ้าง
ผู้เล่นสำคัญในตลาด Forex ที่มีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างมาก ทุกครั้งที่ทำการเข้าซื้อ ถือ หรือขาย ย่อมส่งแรกกระเพื่อมบางอย่างสู่ตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่รายย่อยควรให้ความสำคัญ

 

  • สถาบันการเงิน: เป็นหนึ่งผู้ให้บริการด้านการเงิน มีบทบาทที่สำคัญในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือการลงทุนในตลาด
  • ธนาคารกลาง: ผู้ดูแลหรือกำหนดนโยบายทางการเงิน เช่นการกำหนดอัตราดอกเบี้ย การจัดการกับเงินสำรองของประเทศ ป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน ความเสถียรภาพทางการเงินของประเทศนั้น ๆ
  • กองทุน: ปัจจุบันมีหลาย ๆ กองทุน ที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาด Forex โดยมีผู้เชี่ยวชาญดูแล มีกลยุทธ์ที่หลากหลาย เพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ลงทุน
  • Hedge Fund: เป็นกองทุนที่มีลักษณะพิเศษ มีการบริหารจัดการลงทุนที่หลากหลาย เป็นกองทุนที่มีการระดมเงินทุนก้อนใหญ่จากนักลงทุนหลายราย และกลยุทธ์ที่เป็นไปตามแนวทาง การจัดการความเสี่ยงและลดความผันผวนในการลงทุน
  • บรรษัทข้ามชาติ: เป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งจะต้องมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนหรืออัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการลงทุนในตลาด Forex จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการป้องกันความเสี่ยง
  • นักลงทุนรายย่อย: ผู้ที่เข้ามาลงทุน หรือเทรดเพื่อการเก็งกำไรในตลาด Forex อย่างเรา ๆ ซึ่งมีจำนวนมากทั่วโลก

การลงทุนในตลาด Forex กราฟขึ้นหรือลง ล้วนเกิดจากแรงซื้อหรือแรงขาย และปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และผู้เล่นหลักที่สำคัญ ล้วนมีปริมาณเงินมหาศาล มีพลังในการขับเคลื่อนทิศทางของราคา หรืออัตราแลกเปลี่ยน

โดยผู้ลงทุนรายย่อย ถ้าสามารถเทรดหรือซื้อขาย ในทิศทางเดียวกันกับรายใหญ่ดังที่ได้กล่าวมา ย่อมมีโอกาสที่จะชนะตลาดได้มากกว่า

 

คู่เงินในที่ใช้เทรดในตลาด Forex

คู่เงิน (Currency Pair) ในตลาด Forex

คู่เงิน (Currency Pair) ในตลาด Forex
Currency Pair คือคู่เงินในตลาด Forex ที่ถูกนำมาจับคู่เพื่อเปรียบเทียบราคา การเข้าเทรดคือการซื้อสกุลเงินหนึ่งด้วยสกุลเงินหนึ่ง โดยราคาด้านหน้าจะมีค่าเท่ากับ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่อยู่ด้านหลัง

 

การเทรด Forex หรือการซื้อขายสกุลเงิน โดยใช้สกุลเงินหนึ่ง ไปซื้ออีกสกุลหนึ่ง ซึ่งคู่เงินจะประกอบไปด้วย “สกุลเงินฐาน” (base currency) และ “สกุลเงินคู่” (quote currency) ลักษณะคือ EUR/USD โดยสกุลเงินที่อยู่ด้านหน้า จะมีค่าเท่ากับ 1 เช่น 1 ยูโร มีค่าเท่ากับ 1.07 USD (exchange rate)

 

คู่เงินหลัก (Major Currency Pair)

Major Currency Pair คู่เงินหลัก
Major Currency Pair คือคู่เงินหลัก ที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานมากจากความนิยมของสกุลเงิน ขนาดเศรษฐกิจ GDP ความแข็งแกร่งทางโครงสร้าง ประกอบไปด้วยสกุลเงิน EUR, USD, JPY, GBP

 

แม้ปัจจุบัน มีสกุลเงินกว่า 180 สกุลเงินทั่วโลก สามารถเทรดได้กว่า 38 คู่เงิน แต่คู่เงินหลักที่มีปริมาณซื้อขายมากที่สุดในโลก เป็นคู่เงินที่นิยมเทรดมากที่สุด ที่เป็น Major Currency Pair คือ ยูโร (EUR), ดอลลาร์สหรัฐ (USD), เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP)

ล้วนเป็นสกุลเงินที่มีอิทธิพล มี GDP เศรษฐกิจขนาดใหญ่ และความแข็งแกร่งทางโครงสร้าง จึงเป็นคู่เงินที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด

 

เวลาซื้อขายในตลาด Forex

ตลาด Forex เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ เพราะตลาดมีช่วงเวลาทับซ้อนกัน ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนที่ของแต่ละคู่เงิน ที่อาจจะมาจากเศรษฐกิจ ข่าว มุมมอง ของนักลงทุนแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน

 

เวลาซื้อขายในตลาด Forex
ตารางเวลาซื้อขายในตลาด Forex ที่สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะการทับซ้อนของตลาดที่เกิดขึ้น และช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายมาก ของแต่ละคู่สกุลเงินนั่นก็คือ ช่วงเวลาทับซ้อนของแต่ละตลาด ที่ส่งผลต่อสกุลเงินนั้น ๆ เช่น ตลาดอเมริกา กับ ตลาดยุโรป ดังนั้นคู่เงิน EUR/USD จะมีปริมาณการซื้อขายมากในช่วง 19.00-23.00น.

 

  • ตลาดอเมริกา (USD) เวลาเปิดทำการ 19.00 น. และปิดทำการเมื่อ 03.00 น.
  • ตลาดลอนดอล (GBP) เวลาเปิดทำการ 15.00 น. และปิดทำการเมื่อ 23.00 น.
  • ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลาเปิดทำการ 05.00 น. และปิดทำการเมื่อ 13.00 น.
  • ตลาดโตเกียว ญี่ปุ่น (JPY) เวลาเปิดทำการ 07.00 น. และปิดทำการเมื่อ 14.00 น.
  • ตลาดฝรั่งเศส (CHF) เวลาเปิดทำการ 13.00 น. และปิดทำการเมื่อ 21.00 น.
  • ตลาดยุโรป (EUR) เวลาเปิดทำการ 14.00 น. และปิดทำการเมื่อ 23.00 น.
  • ตลาดแคนาดา (CAD) เวลาเปิดทำการ 19.00 น. และปิดทำการเมื่อ 03.00 น.

การเข้าเทรด สามารถเลือกได้ตามช่วงเวลาที่ทับซ้อน ซึ่งเป็นเวลาซื้อขายที่ดีที่สุด หรือช่วงเวลาที่ตลาดปิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่ใช้เทรด เพราะการเคลื่อนที่ของกราฟในช่วงเวลาที่ตลาดเปิดและตลาดปิด มีลักษณะที่แตกต่างกัน

เวลาออมแสง (Daylight Saving Time) เป็นข้อตกลงในการปรับนาฬิกาไปข้างหน้า โดยการปรับเวลาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อน ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วกว่าปกติ และจะมีการปรับให้ช้าลงตามเดิมหลังสิ้นสุดฤดูร้อน

การปรับเวลา ซึ่งมีผลต่อการเทรด Forex ถือเป็นช่วงเวลาทำการของผู้คนในประเทศเร็วขึ้น การวางแผนการเทรดจึงควรปรับให้เหมาะสม

 

หลักการทำกำไรในตลาด Forex

เทรดเดอร์ (Trader) ในตลาด Forex คือผู้ที่ทำการซื้อขายสกุลเงิน เพื่อเก็งกำไร ไม่ได้ที่จะถือครองสินทรัพย์จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงิน ทองคำ น้ำมัน หรือใด ๆ ก็ตาม แต่จะทำการซื้อขายในรูปแบบของสัญญา โดยหลักการทำกำไรในตลาด Forex มีดังนี้

  • การซื้อขาย: สามารถซื้อขายทั้งได้สองทางคือ Buy และ Sell โดยคาดการณ์ว่ากราฟจะขึ้นหรือลง
    • คำสั่ง: Buy คือ สัญญาว่า ซื้อแล้วจะต้องขาย ในเวลาต่อมา
    • Sell คือ สัญญาว่า ขายแล้วจะต้องซื้อกลับคืน ในเวลาต่อมา
  • ทำกำไร: Buy เมื่อราคาถูก และ Sell เมื่อราคาแพง ส่วนต่างของราคาเมื่อปิดออเดอร์ คือผลกำไร หรือขาดทุน

การทำกำไรในตลาด Forex เทรดถูกทาง อาจจะไม่ได้กำไรเสมอไป (ถ้าปิด order ไม่ทัน หรือตั้งจุด Take profit ไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้พลาดโอกาสเมื่อกราฟเปลี่ยนทิศทางไปในทางตรงกันข้าม) หรือเทรดผิดทาง อาจจะไม่ได้ขาดทุนเสมอไป (ถ้าเชี่ยวชาญเทคนิคการแก้ไม้)

กราฟมีขึ้นมีลง มีการเคลื่อนที่หรือมีโอกาสที่จะกลับตัวได้ตลอดเวลา จึงจะต้องมีเทคนิคหรือกลยุทธ์ในการเอาชนะตลาดให้ได้ในระยะยาว

 

จะเป็นเทรดเดอร์ (Trader) Forex ได้อย่างไร

การเป็นเทรดเดอร์ Forex ไม่ใช่เพียงเปิดปิดออเดอร์เป็น แต่จะต้องเข้าใจตลาด เข้าใจเทคนิค การจัดการเงินทุนและความเสี่ยง และจิตวิทยาการเทรด การจะเป็นเทรดเดอร์ มีแนวทางดังต่อไปนี้

1.     เลือกโบรกเกอร์

โบรกเกอร์ คือผู้ให้บริการกับเทรดเดอร์หรือนักลงทุนรายย่อย ให้สามารถทำการซื้อขายได้ ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย มีการเก็บค่าบริการซื้อขายที่เรียกว่า “ค่าสเปรด” ปัจจุบันมีโบรกเกอร์ให้เลือกใช้บริการอย่างมากมาย แต่ไม่ใช่ว่าจะเลือกที่ใดก็ได้ แต่จะต้องเลือกที่มีความน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ เพราะโบรกเกอร์คือผู้ดูแลเงินทุนของเทรดเดอร์

2.     เครื่องมือการวิเคราะห์

กราฟจะขึ้นหรือลง ล้วนมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนที่เสมอ มีหลากหลายทฤษฎี ที่ถูกนำมาใช้วิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพี้นฐาน และการทำกำไรด้วยกลยุทธ์ ทั้งนี่แต่ละเครื่องมือ ล้วนมีวิธีคิดและความเชื่อ ที่แตกต่างกัน

3.     จัดการเงินทุนและความเสี่ยง

เงินทุน จะต้องเป็นเงินทุนเย็น หรือมีไว้สำหรับลงทุนในระยะยาว โดยที่เงินทุนก้อนนั้นถ้าหายไปนาน ๆ ครอบครัวหรือความเป็นอยู่จะต้องไม่เดือดร้อน เพราะในโลกของการลงทุนมีความเสี่ยงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ที่เลือกผิด การเทรดที่ยังไม่กำไร หรือการจัดการอย่างไรให้อยู่ได้ในตลาด

4.     จิตวิทยาการเทรด

ทัศนคติที่มีต่อตลาด ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจ กระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปย่อมผิดตาม แม้ทุกคนเข้ามาในตลาดนี้ ล้วนหวังที่จะรวย หรือทำกำไรให้ได้ทีละมาก ๆ แต่นั่นคือหลุมพรางที่จะทำให้ตกหลุมแห่งความโลภ ส่งผลต่อเนื่องไปยังการตัดสินใจที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาด

ปัจจัยหลักทั้ง 4 ข้อ คือสิ่งที่ผู้จะเป็นเทรดเดอร์ จะต้องฝึกฝนและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเสมอ แม้จะเป็นเรื่องพื้น ๆ แต่สำคัญมาก ตึกไม่อาจสูงใหญ่ได้ หากไร้รากฐานที่มั่นคง เพราะคือหนทางหนึ่งเดียวสำหรับคนที่จะเป็นเทรดเดอร์

 

โบรกเกอร์ Forex คืออะไร

สะพานที่เชื่อมระหว่างเทรดเดอร์หรือนักลงทุนรายย่อย ไปสู่ตลาดการเงินขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเปิดขึ้นเยอะมาก ๆ โดยแบ่งโบรกเกอร์ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

 

แบ่งโบรกเกอร์ออกเป้น 2 ประเภท
การเปรียบเทียบโบรกเกอร์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภท A-book และประเภท B-book แม้แนวทางทั้ง 2 ประเภทจะแตกต่างกัน แต่ไม่ได้การันตีว่าประเภทใดดีหรือไม่ดีกว่ากัน การเลือกใช้บริการขึ้นอยู่กับความพอใจ เพราะแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน

1.     โบรกเกอร์ A-Book

  • เป็นโบรกเกอร์ ที่ดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  • ส่งเงินทั้งหมด 100% เข้าสู่ตลาดจริง
  • มีรายได้มาจากค่ามาจากค่า Spread และ Commission
  • ดำเนินงานตามข้อบังคับของกฎหมายทางการเงิน
  • มีความมั่นคง

 

2.     โบรกเกอร์ B-Book

  • เป็นโบรกเกอร์ ที่ไม่ได้ส่งคำสั่งซื้อขายไปตลาดจริง
  • ดำเนินงานผ่านระบบของโบรกเกอร์เอง
  • ผลกำไรขาดทุน ส่งผลกระทบกับโบรกเกอร์โดยตรง
  • มีรายได้จากการขาดทุนของเทรดเดอร์
  • มีโอกาสโดนโกงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ดีเลย์คำสั่งซื้อขาย ถ่างค่าสเปรดที่เกินจริง ดึงกราฟ หรือปิดตัวแล้วเชิดเงินหนี
  • ให้เลเวอเรจสูง มีโปรโมชั่นมากมาย

เทรดเดอร์ทั่วไป จะไม่นิยมเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ประเภท B-Book แต่ใช่ว่าโบรกเกอร์ประเภทนี้จะแย่เสมอไป เมื่อโบรกเกอร์มีขนาดใหญ่ เพียงแค่จับคู่ออเดอร์ก็สามารถลดความเสี่ยงของโบรกเกอร์ได้ หรือใช้ประวัติการเทรดที่เกิดขึ้นจริง ส่งเข้าตลาดสำหรับบัญชีที่มีผลประกอบการดีอย่างต่อเนื่อง หรือรับกินเองสำหรับบัญชีที่ขาดทุนบ่อย ๆ ก็ทำได้

เพียงจ่ายจริง ไม่ทิ้งเทรดเดอร์หรือนักลงทุนรายย่อย ดำเนินธุรกิจให้มีความมั่นคง น่าเชื่อถือ ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน เพียงแต่เทรดเดอร์ที่เลือกโบรกเกอร์ประเภทนี้ จะต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

 

การเทรด Forex ให้ได้อย่างมืออาชีพ

มืออาชีพส่วนใหญ่ เลือกใช่ระบบหรือเครื่องมือที่เรียบง่าย เพราะสามารถทำซ้ำได้ง่ายกว่าระบบที่ซับซ้อน วิธีอยู่รอดให้ได้ในตลาด ไม่ใช่การทำกำไรให้ได้ทีละมาก ๆ แต่จะต้องทำกำไรให้ได้อย่างต่อเนื่องต่างหาก การเทรดให้ได้อย่างมืออาชีพจะต้อง…

 

  • มีระบบ: เครื่องมือที่เรียบง่าย จะสามารถทำซ้ำได้ง่าย ๆ กว่าระบบที่ทำงานอย่างซับซ้อน
  • การจัดการความเสี่ยง: ก่อนเทรดทุกครั้งจะต้องมีการวางแผนความเสี่ยง และคาดหวังผลกำไรที่เหมาะสม
  • ทำตามแผน: เทรดเดอร์มืออาชีพ จะไม่เทรดหากไร้ซึ่งแผน และไม่เทรดถ้ากราฟไม่เป็นไปตามแผน ดังนั้น ก่อนเข้าเทรด จะต้องวางแผนตามระบบ และทำตามแผนเท่านั้น

 

เจ้าพ่อ Price Action “เนล ฟูลเลอร์ (Nial Fuller)” ผู้ก่อตั้ง www.learntotradethemarket.com ได้เผยแพร่เทคนิคและวิธีการเทรดสไตล์ Price Action ผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว เป็นที่นิยมไปทั่วโลก มีผู้ติดตามอ่านมากกว่า 500,000 โดยเทคนิคที่เขาใช้ มีเพียงแท่งเทียนไม่กี่รูปแบบเท่านั้น

สัมภาษณ์ เจ้าพ่อ Price Action Nial Fuller เทคนิคที่ใช้เทรด วิธีคิดต่าง ๆ ที่นำมาใช้อย่างเรียบง่าย

 

เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาด Forex

การวิเคราะห์ตลาด Forex แม้จะมีรูปแบบหรือปัจจัยในการวิเคราะห์ในการวิเคราะห์มากมาย แต่จะสามารถแบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่

เครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาด Forex
เปรียบเทียบเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตลาด Forex แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค ซึ่งทั้งสองทางมีความคิดและความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ยังสามารถนำมาวิเคราะห์ร่วมกันได้ เช่นวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานให้เห็นภาพกว้าง แล้วหาจุดเข้าเทรดด้วยปัจจัยทางเทคนิค

 

 

  • การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) คือการวิเคราะห์ด้วยปัจจัย ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของราคา ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน ข่าว โดยเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการอ่อนหรือแข็งค่าของค่าเงิน
  • การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) คือการวิเคราะห์ด้วยกราฟ ที่มีความเชื่อว่า พฤติกรรมราคาจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้ม แท่งเทียน หรือใช้อินดิเคเตอร์ในการหาสัญญาณในการเข้าเทรด

แม้การวิเคราะห์แต่ละรูปแบบ จะมีวิธีคิดและความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถนำวิเคราะห์ร่วมกันได้ เช่น ดูปัจจัยพื้นฐานที่อาจจะส่งผลต่อค่าเงินในระยะยาว แล้วหาจุดเข้าด้วยเครื่องมือทางเทคนิค

 

3 วิธีการเทรดในตลาด Forex

รูปแบบหรือวิธีการเทรด Forex สามารถแบ่งออกได้ 3 รูปแบบนั่นก็คือ

1.     เทรดด้วยมือ

การเปิดปิดคำสั่งซื้อขายด้วยตนเอง โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน สามารถเทรดได้ทันทีเมื่อมีสัญญาณ หรือตั้งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า ก็สามารถทำได้ วิธีนี้จะมีความยืดหยุ่นสูงในการเข้าเทรด แต่นับว่าเป็นจุดด้อย เพราะเปิดช่องให้เทรดเดอร์ไม่ทำตามแผน หรือเทรดตามอารมณ์ได้

2.     เทรดด้วย EA

EA (Expert Advisor) คือระบบเทรดอัตโนมัติ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเทรดเดอร์ ให้มีความง่ายต่อการเข้าเทรด โดยที่ไม่ต้องเฝ้าจอ เพียงเปิดระบบ จากนั้น EA จะทำการเข้าซื้อ ถือ ขาย ให้ตามระบบที่ได้เขียนโปรแกรมเอาไว้

  • ข้อดี คือเทรดโดยปราศจาคอารมณ์ และทำตามระบบได้ 100%
  • ข้อเสีย คือเมื่อระบบผิดพลาด ไม่สามารถคิดหรือแก้ปัญหาเองได้ เพราะทำตามระบบ 100% เช่นกัน

3.     เทรดด้วยกลยุทธ์

การเทรดที่ ไม่ใด้ใช้วิธีการวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค แต่ใช้โอกาส จังหวะ หรือช่องโหว่ของกราฟที่สามารถทำกำไรได้ เช่น Carry Trade, Arbitrage, Grid Trading

จะเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง แล้วพัฒนาให้เชี่ยวชาญในวิธีนั้น ๆ หรือจะใช้หลาย ๆ วิธี เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงก็ทำได้

 

สร้างระบบเทรด ก่อนเข้าเทรดจริง

ระบบเทรด คือ การเทรดอย่างมีขั้นมีตอน ที่ถูกออกแบบไว้ก่อนล่วงหน้า โดยเลือกเครื่องมือที่ใช้ประกอบกันเป็นแผนอย่างลงตัว โดยจะต้องมีการกำหนดล่วงหน้า ด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้

  • จุดเข้าเทรด: จะทำการ Buy หรือ Sell เมื่อเกิดสัญญาณอะไร เช่น เกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวอย่างสมบูรณ์ หรืออินดิเคเตอร์ส่งสัญญาณตามที่กำหนด จึงจะทำการเปิดออเดอร์
  • จุดตัดขาดทุน: กำหนดตายตัวที่ 1,000 หรือ 500 จุด เลยปลายไส้แท่งเทียน หรือจุดที่กราฟไปถึงแล้วจะไม่ย้อนกลับมา คือไม่เป็นไปตามระบบ
  • จุดปิดทำกำไร: กำหนดจุดปิดทำกำไรเมื่อกราฟไปถึงแนวต้าน หรือแนวรับ ในแนวถัดไป หรือสัญญาณของแท่งเทียนกลับตัวมาอีกฝั่ง หรือจากการตั้งโดยใช้ RR มากกว่า 2 เท่า หรือใช้ SL เลื่อนตามออเดอร์เมื่อถูกทาง

การกำหนดจุดเข้าออก ซื้อขายหรือปิดทำกำไร คือการสร้างแผนการเทรดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้กระทำการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีเหตุและผล เพื่อป้องกันการคิดหรือรู้สึกเอาเองเมื่อผิดทางว่า กราฟย้อนเดี๋ยวก็กลับขึ้นไป จนกระทั่งล้างพอร์ตในที่สุด

และที่สำคัญ เมื่อมีแผนการเทรดอย่างเป็นระบบ ถ้าระบบนั้นดี จะสามารถทำซ้ำจนกระทั่งเกิดเป็นสถิติการเทรด ที่มีอัตราชนะที่มากกว่า 50% และเหมาะกับการนำไปพัฒนาให้เป็นระบบเทรดอัตโนมัติหรือ EA ในอนาคตได้

ดังนั้น การวางแผนเข้าเทรดอย่างเป็นระบบ ที่สามารถทำซ้ำได้ และมีเหตุมีผลจึงเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนควรมี มากกว่าใช้ทุก ๆ ทฤษฎีมาวิเคราะห์ และไม่สามารถวัดผลอะไรได้เลย

 

วิธีจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex

การจัดการความเสี่ยง คือการควบคุมความเสี่ยง ให้อยู่ในจุดที่รับได้ และมีความปลอดภัยต่อพอร์ตการลงทุน หรือเงินทุนที่มีอยู่ โดยทั่วไปจะแนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 3-5% เช่น มีทุน 1,000 USD เลือกความเสี่ยงไม่เกิน 3% จะเป็นเงินอยู่ที่ 30 USD ต่อการเทรด

วิธีการจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex
วิธีการจัดการความเสี่ยงในตลาด Forex มีหลายวิธี โดยวิธีนำเสนอตามภาพนี้ คือวิธีแบบ Fix คือกำหนดความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จึงทำการเข้าเทรดด้วย Lot ที่เหมาะสมกับความเสี่ยง

 

วิธีควบคุม ไม่ให้ใช้ความเสี่ยงเกินที่กำหนดไว้

  1. ระยะจากจุดเข้า ไปจนถึงจุดตัดขาดทุน ว่าปริมาณกี่จุด เช่น ราคาจุดเข้า 1.06509 ราคาจุดขาดทุน 1.06942 ระยะห่างกันอยู่ที่ 433 จุด
  2. ความเสี่ยงที่รับได้ หรือกำหนดไว้แล้วนั่นคือ 30 USD นำมาหาร 433 จะได้ 0.0692840647
  3. ออเดอร์นี้ จะเปิดได้ไม่เกิน 0.06 ถ้าผิดทางหรือขาดทุน จะขาดทุนไม่เกิน 30 USD

เรียนรู้เกี่ยวกับ Lot เพิ่มเติมได้ที่นี่

 

การจัดการผลกำไร และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เทรดเดอร์และนักลงทุนทุกคน ล้วนหวังผลกำไรด้วยกันทั้งสิ้น การจัดการอย่าเป็นระบบจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะไม่เช่นนั้น จะเป็นเพียงการเทรดได้กำไร แล้วนำไปเทรดต่อ โดยที่ไร้จุดหมาย และกำไรที่ได้มานั้น อาจไม่มีวิธีจัดการที่เหมาะสมนัก

วิธีจัดการผลกำไรอย่างเป็นระบบ

  • กำหนดเป้าหมาย: ใช้กฎ 1% ในการคาดหวังผลกำไรในแต่ละวัน เพื่อให้ง่ายต่อการทำได้จริง เมื่อได้แล้วคือต้องหยุด แล้ววางแผนการเทรดในครั้งต่อไป เพียงเท่านี้ก็จะมีกำไรมากกว่าการฝากเงินกินดอกเบี้ยกับธนาคาร นั่นคือเป้าหมายในการลงทุน
  • จ่ายผลตอบแทน: แบ่งจ่ายผลตอบแทนให้กับตัวเอง เช่น เดือนละ 10% แรกเริ่มด้วยทุนก้อนเล็ก ๆ ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมาก แต่นั่นคือรางวัลแห่งความสำเร็จ ที่ทำได้ตามแผน และไม่นานก้อนเล็ก ๆ ก็จะเติบโตตามกาลเวลา
  • ลงทุนต่อยอด: นำกำไรที่ได้ มาเพิ่มช่องทางการลงทุน เช่นเปิดพอร์ตเพิ่ม แล้วกระจายความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ที่หลากหลาย ระบบเทรดต่าง ๆ สั้น กลาง ยาว

เทรดได้ ก็จะต้องสามารถจัดการได้ เพื่อให้เติบโตได้อย่างเป็นระบบ เพราะถ้าไม่มีวิธีจัดการที่ดี วันใดวันหนึ่งโบรกเกอร์หนี หรือระบบที่ใช้อยู่เริ่มไม่ได้ผล ทั้งทุนและกำไรที่เคยได้รับมา ก็อาจจะค่อย ๆ หายไปทีละน้อย นั่นหมายถึงการทุ่มเทที่ผ่านมา หายวับไปกับตาเช่นกัน

 

ข้อควรระวังในการถอนเงิน

แม้การถอนเงิน จะเป็นวิธีในการจัดการผลกำไรที่ดี ในเรื่องของการต่อยอด หรือการจ่ายผลตอบแทนให้กับตัวเอง แต่นั่นหมายถึงพอร์ตที่เติบโต จะต้องลดขนาดน้อยลง แม้แตกต่างกันที่เปอร์เซ็น แต่ขนาดของพอร์ตก็มีผลต่อเปอร์เซ็นต์ในการทำกำไร ดังนั้นอาจจะรอให้พอร์ตโตในระดับหนึ่งเสียก่อน จึงวางแผนในการจัดการผลกำไรได้เช่นกัน

 

สรุป

Forex Trading คือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยการถือครองสัญญาเพื่อเก็งกำไร โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน หรือการซื้อขายด้วยกลยุทธ์ และจะต้องมีวิธีการจัดการเงินทุน ความเสี่ยง รวมถึงต่อยอดผลกำไรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

แต่จะสามารถอยู่ได้อย่างมืออาชีพได้นั้น จะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ เครื่องมือที่จะใช้ วิธีจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม จิตวิทยาการเทรด หรือการควบคุมตนเอง

เพื่อที่จะสามารถต่อยอด และทำซ้ำเติบโตให้ได้อย่างมืออาชีพ ในตลาด Forex

 

 

 

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments