Forexthai.in.th ย่อให้
- Bull & Bear Power เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ใช้ในการระบุเทรนด์ และมองหาจุดกลับตัว
- เครื่องมือ 2 ตัวนี้พัฒนาโดย Alexander Elder ผู้เชี่ยวชาญด้านการเทรด
- ใช้ราคาและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มาวิเคราะห์ แสดงผลเป็นออสซิลเลเตอร์ ช่วยบอกว่าตลาดกำลังถูกควบคุมโดยพลังตลาดหมีหรือกระทิง
- ข้อดีคือใช้ง่าย ช่วยบอกจุดเข้า-ออก ใช้ได้ทั้งเทรดตามเทรนด์และสวิงเทรด
- เวลวาใช้ ควรใช้คู่กันทั้ง Bull และ Bear Power หรือใช้ควบคู่กับเส้น EMA เพื่อหาจุดเข้า-ออก ทำให้การเทรดเป็นระบบและแม่นยำขึ้น
คุณเคยรู้สึกสับสนไหมครับว่าตลาด Forex กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยแรงอะไร? หลายครั้งที่เราเห็นราคาพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างรวดเร็ว Bull Power และ Bears Power อินดิเคเตอร์ (Indicator) จะเป็นผู้คลายปริศนา ให้กับเทรดเดอร์ที่ยังลังเลว่า จะเข้าเทรดทางไหน ตรงไหน และทำกำไรอย่างไร
ลองนึกภาพดูว่า ในแนวโน้มขาลง หมีทำการเข้าควบคุมตลาด Bears Power จะเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นแรงของหมีอย่างมหาศาล บอกเราว่า “ตอนนี้แรง Sell เป็นผู้ควบคุมอยู่” แล้วคุณในฐานะเทรดเดอร์ จะกล้าสวนเข้า Buy อยู่หรือไม่?
จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้สำคัญหรอกว่าเราจะเข้าเทรดตรงไหน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราเข้าถูกทางหรือเปล่าต่างหากครับ
สารบัญบทความ click เพื่อเลือกอ่าน !!
Bull Power และ Bears Power: เครื่องมือชี้วัดพลังตลาด
Bull Power และ Bears Power หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Elder-Ray ถูกพัฒนาขึ้นโดย Alexander Elder ผู้เขียนหนังสือดังอย่าง “Trading for a Living” และ “Come into my trading room” ที่เทรดเดอร์หลายคนรู้จักกันดี ถือเป็นตำราเบื้องต้นที่เทรดเดอร์หลายคนต้องอ่าน
นับว่าเป็นเครื่องมือที่ถูกคิดค้นมาจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ที่คลุกคลีกับวงการเทรดมาอย่างโชกโชน การพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคจากประสบการณ์อันยาวนานแบบนี้ ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามันเป็นเครื่องมือที่เรียบง่าย แต่ใช้ได้จริง และก็เหมือนกับเขากำลังส่งต่อความรู้และเคล็ดลับให้กับเราโดยตรงเลยล่ะครับ
สูตรคำนวณ Bull Power และ Bears Power
- Bull Power = High – EMA
- Bears Power = Low – EMA
แนวคิดของอินดิเคเตอร์ Bull Power และ Bears Power
Alexander Elder ได้เคยอธิบายไว้ในหนังสือว่า แนวคิดนี้อาจจะดูซับซ้อนมาก ๆ ในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้วเป็นแนวคิดที่ง่ายมาก ๆ เพราะใช้เพียง ราคาและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ มาวิเคราะห์ประกอบกันเท่านั้นเอง
Bull Power คือการวัดว่าราคาสูงสุดอยู่ห่างจากค่าเฉลี่ยเท่าไหร่ ยิ่งห่างมาก แสดงว่าพลังกระทิงกำลังแรง ส่วน Bears Power ก็เช่นกัน แต่วัดจากราคาต่ำสุด ยิ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก แสดงว่าพลังหมีกำลังมาแรง
ตลาดหมีกับตลาดกระทิง feeling มันต่างกัน
การทำงานของ Bull Power และ Bears Power
อินดิเคเตอร์ทั้งสองตัวนี้ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของ ออสซิลเลเตอร์ (Oscillators) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยวัดความแรงหรือความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้อย่างแม่นยำ ทำให้เห็นได้ชัดว่าตลาดแรงฝั่งใดที่กำลังควบคุมตลาดอยู่ในขณะนั้น
- ในแนวโน้มขาขึ้น:
- ราคาจะลอยอยู่เหนือเส้น EMA
- Bull Power จะอยู่เหนือเส้นศูนย์ และแท่งจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ
- เป็นสัญญาณยืนยันว่า “ตลาดกำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้น”
- ในแนวโน้มขาลง:
- ราคาจะอยู่ใต้เส้น EMA
- Bears Power จะอยู่ใต้เส้นศูนย์ และแท่งจะยาวลงเรื่อย ๆ
- เป็นสัญญาณว่า “ตลาดกำลังเป็นแนวโน้มขาลง”
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เราสามารถเปรียบเทียบ Bull Power และ Bears Power ได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้เห็นว่าฝ่ายไหนกำลังมีอำนาจเหนือกว่า ถ้าแท่งของฝ่ายไหนยาวกว่า นั่นหมายถึงปริมาณการซื้อขายและแรงผลักดันของฝ่ายนั้นกำลังมากกว่านั่นเอง
ค่ามาตรฐานที่นิยมใช้คือ 13 ซึ่งหมายถึงการใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 13 วัน (หรือ 13 แท่งเทียนในกรณีที่ใช้ไทม์เฟรมที่เล็กกว่า) แล้วทำทำไมถึงเป็น 13 ล่ะครับ? เพราะมันเป็นตัวเลขที่สมดุลระหว่างการตอบสนองที่รวดเร็วและการกรองสัญญาณรบกวนออกไป
ข้อดีและประโยชน์ในการใช้งาน
- เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน มือใหม่ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก
- สามารถบอกจุดเข้าและจุดออกได้ ทำให้การเทรดเป็นระบบ เพียงเทรดตามสัญญาณที่เกิดขึ้น
- จะสายรันเทรนด์หรือสวิงเทรดก็สามารถใช้ได้
- ใช้ควบคู่กับเส้น EMA ก็จะยิ่งช่วยให้เข้าใจง่าย และการเทรดคมขึ้น
ข้อควรระวัง
- เป็นเครื่องมือที่จะต้องใช้ควบคู่กัน เพราะทั้ง Bull Power และ Bears Power ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกัน การแยกใช้อาจทำให้พลาดสัญญาณได้
- ควรทำความเข้าใจ เทส ก่อนนำไปใช้จริง
- ในช่วงที่ตลาด Sideway อินดิเคเตอร์อาจให้สัญญาณหลอกได้ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ตัวอย่างการเทรดด้วย Bull Power และ Bears Power
จากในภาพ จะเห็นได้ว่าจุดเข้า Buy ราคาแท่งเทียนปิดเหนือเส้น EMA ในระหว่างเดียวกันกับ Bears Power เริ่มหมดแรงจากฝั่งต่ำกว่าศูนย์ และ Bull Power ขึ้นมาอยู่เหนือศูนย์และแท่งเริ่มยาวขึ้น หมายความว่าตลาดถูกควบคุมจากแรงฝั่ง Buy ทำให้กราฟกลับตัวเป็นขาขึ้น
จุดปิดทำกำไร หลังจากที่ Buy ได้สักพัก แท่งเทียนปิดต่ำกว่าเส้น EMA ในระหว่างเดียวกับมีแรงฝั่ง Sell กลับเข้ามาและแรงฝั่ง Buy ลดน้อยลง จึงเป็นจุดที่ควรปิดทำกำไรแล้วหาจังหวะในการเทรดใหม่อีกครั้ง
ภาพตัวอย่าง เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างและสอดคล้องของทั้งสองเครื่องมือ
จากในภาพ เป็นการเปรียบเทียบกันระหว่าง Bull Power และ Bears Power จะเห็นได้ว่า ถ้าอยู่ในตลาดหมี (Bears) ออสซิลเลเตอร์จะมีความหนาแน่น แท่งยาว แสดงถึงปริมาณหรือแรงที่เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับราคาที่กำลังเป็นแนวโน้มขาลง
และในระหว่างเดียวกัน แรงฝั่งกระทิง (Bull) ก็จะอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เห็นเครื่องมือทั้งสองตัวกำลังทำงานสอดคล้อง ควบคู่กัน
ดังนั้นเทรดเดอร์อาจจะเลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่ง ควรที่จะเลือกให้ถูกตลาด แต่แนะนำว่าอินดิเคเตอร์ทั้งสองตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำงานร่วมกัน ใช้ร่วมกันเพื่อประกอบการวิเคราะห์ จึงจะเหมาะสมและเห็นภาพชัดได้มากกว่าใช้เพียงตัวใดตัวหนึ่ง
วิธีเปิดขึ้นมาใช้
- มองไปทางซ้าย แล้วมองหาคำว่า Indicator กด + เพื่อขยายตัวเลือก
- มองหา Oscillators แล้วกด + ข้างหน้าเพื่อขยายตัวเลือก
- ทำการแดรกเมาส์ Bull Power และ Bears Power
- ตั้งค่าปรับแต่งตามความต้องการ
- อินดิเคเตอร์พร้อมใช้งานได้ทันที
สรุป Indicator Bull & Bear Power รู้พลังเก็บกำไร
ถ้าเทรดเดอร์รู้ว่า ตลาดกำลังเคลื่อนที่ไปยังทิศทางใด ยังไงก็เข้าถูกทาง เทรดเดอร์ที่ยังมองไม่ออกบอกไม่ได้ Bull Power และ Bears Power คือคำตอบ เพราะจะทำให้รู้แนวโน้ม รู้ว่าแรงใดที่กำลังควบคุมตลาด ด้วยวิธีการง่าย ๆ ในข้างต้น
เป็นเครื่องมือที่พัฒนาจากผู้ที่เชี่ยวชาญ และคลุกคลีอยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะนำแนวคิดที่ได้ เทคนิคเทรดที่มีมาสร้างเป็นระบบหรือเครื่องมือให้เทรดเดอร์ในยุคหลัง ๆ ได้นำไปใช้กันแบบฟรี ๆ อยากประสบความสำเร็จแบบเทรดเดอร์มืออาชีพ ทำไมไม่ลองใช้เครื่องมือของมืออาชีพล่ะครับ?
คิดและทำแบบมืออาชีพ ได้ผลลัพธ์แบบมืออาชีพ
ทีมงาน: forexthai.in.th
Pingback: พื้นฐาน Bull and Bear Power INDICATOR | ThaiForexBroker