Forexthai.in.th ย่อให้
- Range คือ พื้นที่การเคลื่อนไหวของราคาระหว่างจุดสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งๆ เทรดเดอร์มักใช้เป็นเครื่องมือในการตีกรอบแนวรับ-แนวต้าน เพื่อหาจังหวะเข้าเทรด
- เราสามารถใช้ประโยชน์จาก Range ได้ทั้งการเทรดในกรอบ (เล่นแนวรับ-แนวต้าน) และนอกกรอบ (รอจังหวะเบรกเทรนด์)
- ระวัง False Break หรือการหลอกเบรกที่ราคาทะลุกรอบออกไปเล็กน้อยแล้วกลับเข้ามา ควรรอการยืนยันจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย
- Range Trading เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาราคา เมื่อราคาใกล้จุดสูงสุดคนมักลังเลที่จะซื้อ และเมื่อใกล้จุดต่ำสุดคนมักมองหาจังหวะซื้อ
- ความกว้างของ Range บ่งบอกความผันผวน เทรดเดอร์ต้องปรับเทคนิคการเทรดให้เข้ากับสภาวะตลาดด้วย
ในโลกของ Forex มีศัพท์เทคนิคมากมายที่เทรดเดอร์ต้องรู้จัก และ “Range” ก็เป็นหนึ่งในคำศัพท์สำคัญที่คุณจะเจอบ่อยๆ ในการเทรด ไม่ว่าจะในระบบเทรดหรืออินดิเคเตอร์ต่างๆ เป็นส่วนต่างระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
รู้จัก Range คืออะไร?
Range คือ พื้นที่ ขอบเขต หรือกรอบของราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น ถ้าดูแท่งเทียน 1 ชั่วโมง เราจะเห็นราคาสูงสุดและต่ำสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ซึ่งในตลาด Forex เราสามารถใช้ Range เป็นเครื่องมือในการกำหนดพื้นที่เทรดและสร้างกลยุทธ์การเทรดได้
เทรดเดอร์มักใช้ Range ในการเทรด ไม่ว่าจะเป็นกรอบราคา เช่น ตีเส้นกรอบบนและกรอบล่างเป็นแนวรับแนวต้าน เล่นเฉพาะในกรอบแบบชนแนวต้านเปิด Sell ชนแนวรับเปิด Buy
ทั้งนี้ อยู่ที่นำไปปรับใช้ นอกจากนี้ยังมีอินดิเคเตอร์หลาย ๆ ตัว ที่ยังพูดถึง โดยการนำเอาคอนเซ็ปต์ของช่องว่างราคา หรือจุดสูงสุดจุดต่ำสุด นำมาสร้างเป็นกลยุทธ์เช่นเดียวกัน
การเทรดไม่ยาก แต่เทรดยังไงให้มีกำไรนี่สิ ยาก
False Break ใน Range Trading
ในการเทรด Range เราต้องระวังจังหวะที่เรียกว่า False Break หรือการหลอกเบรก นี่คือช่วงที่ราคาทะลุกรอบออกไปเล็กน้อย แต่กลับวิ่งย้อนกลับเข้ามาในกรอบอีกครั้ง ซึ่งมักจะทำให้เทรดเดอร์หลายคน “ติดดอย“
วิธีรับมือที่ดีคือ ต้องรอให้ราคาทะลุกรอบออกไปพร้อมกับมีแรงซื้อขายที่หนาแน่น หรือรอให้ราคาทะลุออกไปแล้วย้อนกลับมาทดสอบกรอบเดิม (Retest) ก่อนวิ่งต่อ นี่เป็นสัญญาณที่น่าเชื่อถือกว่าการรีบเข้าเทรดทันทีที่ราคาทะลุกรอบ
บางครั้งการเบรกแบบหลอกๆ ก็เป็นโอกาสดีๆ ให้เราได้เข้าเทรดในทิศทางตรงข้าม แต่ต้องมั่นใจว่ามีการยืนยันจากปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น แท่งเทียนกลับตัว หรือแรงซื้อขายที่เพิ่มขึ้นด้วย
ช่างว่างราคา สำคัญอย่างไรกับการเทรด

แท่งเทียนแต่ละแท่งบอกเรื่องราวมากกว่าที่คิด นอกจากราคาเปิด-ปิดแล้ว มันยังบอกราคาสูงสุด-ต่ำสุดในช่วงเวลานั้นๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในกราฟ H1 เราจะเห็นการเคลื่อนไหวของราคาตลอด 1 ชั่วโมง
ราคาสูงสุดนับว่าเป็นแนวต้านของในช่วง 1 ชั่วโมง และราคาต่ำสุดก็นับว่าเป็นแนวรับของช่วง 1 ชั่วโมงเช่นกัน ถ้ามองภาพเล็กอาจจะยังไม่เห็นภาพ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับแท่งเทียน Day ความหมายก็จะยิ่งมีนัยสำคัญ เช่น ในช่วงระยะเวลา 1 วันนั้น ราคาสร้างแนวรับแนวต้าน จากราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด
และในแท่งต่อมา ถ้าราคาสามารถเบรกจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดไปได้ กราฟก็กำลังมีแนวโน้มไปยังทิศทางนั้น ๆ แต่ถ้าไม่สามารถเบรกจุดสูงสุด หรือจุดต่ำสุดไปได้ตลาดอาจจะกำลังเป็นไซด์เวย์
ไม่มีทฤษฎีใดบนโลกนี้ การันตีได้ 100%
เทรดเดอร์ใช้ประโยชน์อะไรจาก Range ของราคาได้บ้าง

1. เทรดใน Range หรือในกรอบ
ยิ่งตลาดมีความผันผวน หรือมีการสู้กันของแรงทั้ง 2 ฝ่าย แต่กราฟยังไม่สามารถเลือกข้างได้ เทรดเดอร์สามารถใช้จังหวะนี้ในการเทรดทำกำไรในกรอบ โดยหาราคาสูงสุดและต่ำสุด ตีเส้นในลักษณะแนวรับแนวต้าน ทำการ Buy เมื่อราคาชนแนวรับ Sell เมื่อราคาชนแนวต้าน
2. เทรดนอกกรอบ
ช่องว่างของราคา มีอยู่ในทุกช่วงของเวลา แม้กราฟจะเคลื่อนที่เป็นแนวโน้ม ก็จะยังมีกรอบราคาเช่นเดิม เมื่อราคาเลือกทิศทาง ทางใดทางหนึ่ง ก็สามารถหากรอบในการเทรดได้เช่นเดียวกัน ในแนวโน้มขาขึ้นให้ Buy ในช่วงราคาต่ำสุด หรือในแนวโน้มขาลงให้ Sell ในช่วงราคาสูงสุด แนวโน้มขาขึ้นราคาต่ำสุดจะค่อย ๆ ยกตัว ในระหว่างเดียวกันในแนวโน้มขาลง ราคาสูงสุดก็จะค่อย ๆ ลดตัวเช่นกัน
3. ความผันผวน
ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ นั่นคือความผันผวน ในแท่งเทียน Day 1 แท่ง มีหลาย ๆ แท่งในไทม์เฟรมที่เล็กกว่า ราคาที่สวิงขึ้นและสวิงลง เกิดจากแรงที่สู้กันของทั้งสองฝ่าย นั่นคือความผันผวนที่เกิดขึ้น
4. อินดิเคเตอร์
มีอินดิเคเตอร์หลายตัวที่ใช้ประโยชน์จากระยะช่องว่างของราคา นั่นคือราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด ส่วนใหญ่จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยใช้ใน 70% กับ 30% ถ้าราคาเข้าเขตเส้น 70% นั่นแสดงว่าราคาอยู่ในช่วงราคาสูงสุดโดยของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง และถ้าราคาเข้าเขตเส้น 30% ราคาอยู่ในช่วงราคาต่ำสุดของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง โดยค่าเฉลี่ยจะขึ้นอยู่กับอินดิเคเตอร์ตัวนั้น ๆ ที่นำมาใช้ ข้อดีก็คือสามารถใช้ได้ทั้งทุกแนวโน้ม
เทคนิคในการเทรดที่ดี คือการนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง
Range Trading กับจิตวิทยาราคา
การเทรดใน Range เป็นเรื่องของจิตวิทยาราคาด้วยเหมือนกันครับ เมื่อราคาวิ่งเข้าใกล้จุดสูงสุดของ Range เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะเริ่มลังเลที่จะซื้อ และเริ่มคิดถึงการขาย ในทางกลับกัน เมื่อราคาวิ่งลงมาใกล้จุดต่ำสุดของ Range คนส่วนใหญ่ก็จะเริ่มมองหาจังหวะซื้อ
พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ราคามักจะกลับตัวบริเวณขอบของ Range บ่อยๆ แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อราคาสามารถทะลุ Range ออกไปได้ มักจะเกิดการวิ่งแรงตามทิศทางนั้น เพราะคนที่เทรดผิดทิศทางต้องรีบปิดออก (Stop Loss) ในขณะที่คนที่รอจังหวะก็จะรีบเข้าซื้อหรือขายตาม
ช่องว่างราคา กว้างเท่าไหร่ ยิ่งมีความผันผวนเท่านั้น

ช่องว่างของราคาที่มาจาก ราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด มาจากแรงซื้อและแรงขายในตลาด ที่สู้กันทั้งสองฝั่ง จนกว่าจะมีฝั่งใดฝั่งหนึ่งชนะ จะเห็นได้จากระยะห่างจากไส้เทียนด้านบน และไส้เทียนด้านล่าง แม้ว่าราคาปิดจะใกล้กันเพียงใด แต่ไส้ที่ทิ้งไว้ยาว ๆ นั่นคือร่องรอยของการต่อสู้ของแรงซื้อและแรงขาย
เทรดเดอร์รับมืออย่างไร ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
- ความผันผวน มาพร้อมกับแรงซื้อและแรงขาย เกิดเป็นสภาพคล่อง ถ้าหาจังหวะในการเทรดได้ นั่นหมายความกว่า กราฟกำลังจะวิ่งไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จากการแกว่างตัวขึ้นหรือลงอย่างรุนแรง เป็นโอกาสให้เทรดเดอร์สามารถเทรดได้ภายในกรอบ
- ต้องการรันเทรนด์ ควรรันในช่วงที่ความผันผวนต่ำ เพราะกราฟจะค่อย ๆ เคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้ม เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคามีความผันผวนสูง นั่นเกิดจากแรงซื้อหรือแรงขาย เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการกลับตัวไม่เร็วก็ช้า
- การเทรด สามารถเทรดได้ทั้งที่มีความผันผวน และไม่มีความผันผวน ขึ้นอยู่กับระบบเทรดหรือกลยุทธ์ของเทรดเดอร์เอง
- กราฟแท่งเทียน หรืออินดิเคเตอร์ สามารถใช้วัดความผันผวนได้เช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญคือระบบเทรดที่ใช้อยู่ จะสามารถเทรดได้ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงได้หรือไม่ บางครั้งกราฟเทคนิคอาจจะไม่ตอบโจทย์ในช่วงที่มีความผันผวนจากข่าว
ต้องวางแผนไว้รับมือสิ่งที่ไม่คาดฝันเสมอ…
สรุป
ระยะจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดของราคา เกิดเป็นช่องว่างของพื้นที่ เทรดเดอร์หลายคนใช้แนวคิดนี้ไปสร้างเป็นกลยุทธ์ในการเทรด เพราะเชื่อว่าราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดเป็นแนวรับแนวต้าน การเข้าเทรดในระหว่างกรอบอาจจะทำให้ได้ราคาที่ไม่ดีนัก
การเข้าเทรดในจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัว หรือจุดที่ราคาอาจจะไปถึงได้ยาก จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า
ดังนั้น การเข้าซื้อหรือขาย จะใช้ค่าเฉลี่ยจากราคาสูงสุดหรือราคาต่ำสุด มากกว่าการเทรดในพื้นที่ตรงกลางระหว่างราคา เพื่อให้ได้จุดเข้าที่ดี ลดโอกาสผิดพลาดหรือโดนลากมากที่สุดนั่นเอง
ทีมงาน: forexthai.in.th