Forexthai.in.th ย่อให้
- Long (BUY) คือการเปิดสถานะคำสั่ง ซื้อ
- Short (SELL) คือการเปิดสถานะคำสั่ง ขาย
- จุดเด่นของตลาด Forex คือ สามารถเทรดได้ทั้งสองทาง ทั้งซื้อและขาย เล่นได้ทั้ง ขาขึ้น และขาลง
- เมื่อเปิดออเดอร์ Buy ราคาต้องวิ่งขึ้น เราถึงจะได้กำไร หากราคาวิ่งลงเราจะขาดทุน
- เมื่อเปิดออเดอร์ Sell ราคาต้องวิ่งลง เราถึงจะได้กำไร หากราคาวิ่งขึ้นเราจะขาดทุน
สำหรับความหมายของคำ Long (BUY), Short (SELL) เหล่านี้นั้นจะหมายถึงอะไรกันบ้าง มาเรียนรู้ไปพร้อมกันได้เลยครับ
สารบัญบทความ click เพื่อเลือกอ่าน !!
Long (BUY) และ Short (SELL) คืออะไร
Long (BUY) คือ
- การเปิดสัญญาณซื้อ: หมายความว่าเมื่อเราเปิดออเดอร์ Long (BUY) ด้วยเชื่อว่ากราฟในอนาคตจะมีการวิ่งขึ้นนั่นเอง
- ถ้าคุณเทรด TFEX คุณอาจคุ้นเคยกับคำว่า “Long” แต่ถ้าเป็นการเทรด forex คำว่า buy น่าจะเป็นคำที่มีความคุ้นเคยมากกว่า
- ที่มาว่าทำไมเราใช้คำว่า long ที่แปลว่า “ยาว” ทั้งนี่้เนื่องจาก ในทางการเทรดหุ้น ต้องใช้เวลา “นาน” กว่าที่ราคาจะขึ้นไปสูง เมื่อเทียบจำนวนจุดที่เท่ากันกับ short
Short (SELL) คือ
- การเปิดสัญญาณขาย: หมายความว่าเมื่อเราเปิดออเดอร์ Short (SELL) เราเชื่อว่ากราฟในอนาคตนั้นจะมีการวิ่งลง
- โดยใน TFEX จะถูกเรียกว่า “short” แต่ถ้าเป็นในส่วนของ forex เราจะเรียกสัญญาตัวนี้ว่า sell ซึ่งมักเป็นแท่งเทียนสีแดงนั่นเอง (ส่วน Buy แท่งเขียว)
- สาเหตุที่ว่าทำไมเรียก short ที่แปลว่า “สั้น” นั้น ก็เนื่องจากว่า เวลาเกิดการเทขาย จะมีการเทขายจำนวนมากและในระยะเวลาอันสั้น กราฟราคาก็จะวิ่งลงอย่างรวดเร็ว
จุดเด่นของตลาด Forex
ในการทำกำไร ในตลาด Forex นั้น เราจะดูกันเป็น “คู่ค่าเงิน” ตัวอย่างเช่น EUR/USD คือการเปรียบเทียบระหว่างเงินยูโร กับเงิน ดอลล่าห์ โดยตลาด Forex จะต่างจากตลาดหุ้น คือสามารถเทรดได้ทั้งสองทาง ทั้ง “การซื้อและขาย” เล่นได้ทั้ง “ขาขึ้นและขาลง” ตลาดหุ้นซื้อได้อย่างเดียว เล่นได้แต่ขาขึ้น ถ้าเป็นขาลงต้องนอนรออย่างเดียวครับ รูปแบบการเปิดออเดอร์ของตลาด Forex นั้น มี 2 รูปแบบหลัก คือ Long (Buy) และ Short (Sell)
- Long (Buy):
- เป็นการ “ซื้อที่ราคาถูก” แล้ว “ขายราคาแพง”
- เราจะทำการเปิดออเดอร์ Long (Buy) ตอนที่ราคากราฟวิ่งลงต่ำ แล้วทำการปิดออเดอร์(Closed) ตอนที่กร๊าฟวิ่งขึ้นสูงเพื่อทำกำไร เรียกว่าเป็นการ “เทรดขาขึ้น” ครับ
- ตอนเราเปิด Long ก็คือ ส่งคำสั่งซื้อ หรือ Send Buy Order ไปที่ MT4 จะ ทำให้เกิด Long Position ขึ้น
- Short (Sell):
- เป็นการ “ขายราคาแพง” แล้ว “ซื้อกลับตอนราคาถูก”
- คือเปิดออเดอร์ Short (Sell) ตอนที่กราฟวิ่งขึ้นสูง แล้วทำการปิดออเดอร์ (Closed) ตอนที่กราฟวิ่งลงต่ำเพื่อทำกำไร อย่างนี้เรียกว่าเป็นการ “เทรดขาลง” ครับ
- ตอนเราเปิด Short ก็คือ ส่งคำสั่งขาย หรือ Send Sell Order ไปที่ MT4 จะเกิด Short Position ขึ้น
ตัวอย่าง การเปิดออเดอร์ Long (Buy) “เทรดขาขึ้น”
- คุณเปิดออเดอร์ Buy (Long) ที่ราคา 1.33589
- ปิดออเดอร์ (Closed) Buy (Long) ที่ราคา 1.35396
เท่ากับว่าคุณทำกำไร ไปได้ 1.35396 – 1.33589 = 0.01807 หรือ 1807 point (180 Pips)
ตัวอย่างการเปิดออเดอร์ Short (Sell) “เทรดขาลง”
- คุณเปิดออเดอร์ Sell (Short) ที่ราคา 1.37475
- ปิดออเดอร์ (Closed) Sell (Short) ที่ราคา 1.33589
เท่ากับว่าคุณทำกำไร 1.37475 – 1.33589 = 0.03886 หรือ 3886 point (388 Pips)
ในการซื้อ-ขายในตลาด Forex ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่า คุณต้องการซื้อ (Buy) หรือ ว่าขาย (Sell)
- ถ้าคุณต้องการที่จะซื้อ คุณต้องการให้ Base Currency มีค่ามากขึ้นแล้วคุณจะขายมันที่ราคาสูงกว่า แบบนี้เรียกว่า “Going long “ หรือเรียกว่า Long position และที่สำคัญให้จำไว้ว่า Long = Buy
- ถ้าคุณต้องการที่จะ Sell คุณต้องการให้ราคา Base Currency ลดลง แล้วคุณจะ Buy มันกลับที่ราคาต่ำกว่าเดิม แบบนี้เรียกว่า “Going Short” หรือ เรียกว่า Short position ควรจำไว้ว่า Short = Sell
ในการเทรด Forex สามารถเทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง พร้อมกันได้ (Hedge) ในสกุลเงินเดียวกัน เช่น
- EUR/USD ซื้อ ที่ 90 ขายที่ 90 คือ sell และ buy พร้อมกัน
- ทั้งนี้ถ้าเกิดมันขึ้นไปที่ 100 คุณก็จะได้ฝั่ง Buy ที่ +10 จุด เสียฝั่ง sell ที่ -10 จุด
- แต่หากฝั่ง sell คุณอาจจะยอมตัดขาดทุนแค่ 5 จุด คือ เมื่อกราฟขึ้นมาที่ 95 จุด คุณก็ปิด ออเดอร์ ฝั่ง sell
- และ เมื่อกราฟขึ้นต่อไปที่ 100 เท่ากับว่าคุณก็จะได้กำไร 5 จุด (ฝั่ง Buy ได้ 10 ฝั่ง Sell เสีย 5)
* แต่ในแง่ความเป็นจริงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะยังมีส่วนของค่าบริการที่โบรกเกอร์เรียกเก็บในทุกๆ หรือเกือบทุกออเดอร์ที่คุณเปิด
- Spread
- Commission
- Swap (เรียกเก็บเฉพาะ Order ข้ามคืน)
ด้วยเหตุนี้บางทีเทคนิค Hedging จึงอาจจะเป็นงูกินหาง คือไม่ได้กำไรที่แท้จริง แถมยังทำให้ “งง” หรือทำให้ระบบการเทรดคุณรวนได้อีกด้วย
เครื่องมือช่วยวิเคราะห์สำหรับการตัดสินใจเปิดออเดอร์ Long หรือ Short
การซื้อขายในตลาด Forex อันดับแรกเลยคือ คุณต้องตัดสินใจว่าจะเปิดออเดอร์ Long (BUY) หรือ Short (SELL) และเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ผมมีเครื่องมือ 2 ตัว ที่จะช่วยให้การวิเคราะห์ง่ายและแม่นยำขึ้นในการออกออเดอร์ ดังนี้ครับ
- Moving Average (MA)
- เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา โดยจะแสดงค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่นในช่วง 20 วัน หรือ 50 วัน
- สามารถ “ดูแนวโน้มจากความชันของเส้น” ตามตารางด้านล่างนี้ครับ
เทคนิคการดู | ความหมาย |
ราคาอยู่เหนือเส้น MA | มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (สัญญาณ Long หรือ BUY) |
ถ้าราคาอยู่ใต้เส้น MA | มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (สัญญาณ Short หรือ SELL) |
หรือนักเทรดอาจจะใช้เส้น MA หลายๆ เส้นร่วมกัน เช่น MA 50 ตัดขึ้นเหนือ MA 200 เป็นสัญญาณ Long ระยะยาว หรือสามารถใช้ทั้งเส้น EMA และเส้น SMA ควบคู่กัน อันนี้ก็เวิร์คเหมือนกันครับ
- RSI (Relative Strength Index)
- RSI เป็นเครื่องมือวัด “การซื้อขายที่มากหรือน้อยเกินไปในตลาด (Overbought/Oversold)” โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 ซึ่งถ้ามีค่าสูงแสดงว่าราคามีแนวโน้มขาขึ้น ส่วนค่าที่ต่ำแสดงว่าราคามีแนวโน้มขาลง
- ถ้า RSI สูงกว่า 70 คือเป็นสัญญาณที่บอกว่าเกิด Overbought หรือก็คือตอนนี้ มี “การซื้อมากเกินไป” ครับ มีโอกาสที่ราคาจะปรับฐานลง ซึ่งเราสามารถนำไปพิจารณาเปิดออเดอร์ Short (SELL) ได้นั่นเอง
- แต่ถ้า RSI ต่ำกว่า 30 จะเป็นสัญญาณที่บอกว่าเกิด Oversold หรือ “การขายมากเกินไป” แทน มีโอกาสสูงมากที่ราคาจะดีดตัวกลับขึ้นไป ดังนั้นจึงควรมองที่การเปิดออเดอร์ Long หรือ BUY ครับ
ความเสี่ยงในการ Long (BUY), Short (SELL) ในตลาด Forex
1. ความผันผวนของตลาด
2. อัตราดอกเบี้ย
-
- หากอัตราดอกเบี้ย “เพิ่มขึ้น” สกุลเงินมักจะ “แข็งค่า”
- และหาก “ลดลง” สกุลเงินมักจะ “อ่อนค่า”
3. ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค
4. ปัจจัยทางการเมืองและความไม่แน่นอน
5. การใช้เลเวอเรจ
การใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อยอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ซึ่งการเทรดสินทรัพย์ CFD หรือ Forex นั้นนิยมใช้ Leverage ที่สูงในการเทรด)
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเทรด Long และ Short
“การเทรด Long คือการเทรดที่ปลอดภัยกว่าการเทรด Short”
ความจริง: ในตลาด Forex นั้น ทั้งการเทรด Long และ Short มีความเสี่ยงพอ ๆ กัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดและการจัดการความเสี่ยงของเทรดเดอร์เอง
“การเทรด Short เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพเท่านั้น”
ความจริง: นักเทรดมือใหม่ก็สามารถเทรด Short ได้ หากเข้าใจวิธีการ (อย่างการเทรดชนข่าวในระยะเวลา 15-30 นาที) และทำการเปิดล็อตที่เหมาะสม เช่น 0.01 บนเงินทุน 100$ และมี Stop Loss ชัดเจน ในกรณีที่ผิดทาง เป็นต้น
“ผลตอบแทนจากการเทรด Short มีมากกว่าการเทรด Long”
ความจริง: ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับตลาด ขนาดของ Lot และการตัดสินใจของเทรดเดอร์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นการเทรด Long หรือ Short
“การเทรด Long และ Short เป็นเรื่องง่ายที่ใครก็ทำได้”
ความจริง: การเทรดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน เทคนิคอะไร ก็ต้องเทรดแบบมีความรู้, มีการวิเคราะห์ และมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี
“การเทรด Short มักได้ผลลัพธ์ที่เป็นลบ”
ความจริง: การเทรด Short สามารถสร้างกำไรได้เมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางลง ที่สำคัญคือ “การวิเคราะห์ตลาดอย่างถูกต้อง”
“การใช้เลเวอเรจสูงๆ สำหรับการเทรดจะช่วยเพิ่มผลกำไร”
ความจริง: การใช้เลเวอเรจที่สูงสามารถ “ช่วยเพิ่มกำไรได้จริง” แต่คุณก็ต้อง “ยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย”
“ต้องใช้ทุนเยอะ ในการเริ่มต้นการเทรด”
ความจริง: การเทรดไม่ว่าทั้ง Long และ Short สามารถเริ่มต้นด้วยทุนน้อยๆ ได้สำหรับบางโบรกเกอร์ มีให้ฝากตั้งแต่ 1 ดอลลาร์ขึ้นไป (บัญชี Cent) เพื่อเริ่มต้นการเทรดได้
* ความเข้าใจผิด เหล่านี้บางส่วนเกิดจากการนำเอาความรู้ในการเทรด “หุ้น” มาใช้ ซึ่งเป็นการเทรดแบบขาเดียว คือ “ขา ฺBuy” (ซื้อราคาต่ำขายราคาสูง) มาปะปนกับการเทรดแบบ CFD หรือ Forex ซึ่งสามารถเทรดได้ทั้ง “ขาขึ้นและขาลง”
สรุป
จุดเด่นของตลาด Forex คือเราสามารถเล่นได้ทั้ง 2 ฝั่ง Long (BUY) และ Short (SELL) การเปิด Oder ทุกครั้งเราจะต้องวางแผนการเทรดให้ชัดเจน เช่น หากเราเปิด Oder Buy เราจะเปิดตรงจุดไหน และเราจะวาง Stop Loss ตรงจุดไหน ต้องคำณวณหน้าตัก หรือเงินทุนให้ดี
มือใหม่แนะนำใช้ Leverage 1:100 และเปิดขนาดสัญญาที่ 0.01 (ต่อทุน100$) ประโยชน์ของ Long (BUY) และ Short (SELL) คือเราสามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ฝั่ง อย่าลืมว่าการเปิด Oder ต้องมีการวาง Stop Loss ทุกครั้งเพื่อจำกัดการขาดทุน
ทีมงาน: forexthai.in.th