Forexthai.in.th ย่อให้ 

  • Long (BUY) คือการเปิดสถานะคำสั่ง ซื้อ 
  • Short (SELL) คือการเปิดสถานะคำสั่ง ขาย
  • จุดเด่นของตลาด Forex คือ สามารถเทรดได้ทั้งสองทาง ทั้งซื้อและขาย เล่นได้ทั้ง ขาขึ้น และขาลง
  • เมื่อเปิดออเดอร์ Buy  ราคาต้องวิ่งขึ้น เราถึงจะได้กำไร หากราคาวิ่งลงเราจะขาดทุน
  • เมื่อเปิดออเดอร์ Sell  ราคาต้องวิ่งลง เราถึงจะได้กำไร หากราคาวิ่งขึ้นเราจะขาดทุน

ภาพหน้าจอโปรแกรมเทรด

สำหรับความหมายของคำ Long (BUY), Short (SELL) เหล่านี้นั้นจะหมายถึงอะไรกันบ้าง มาเรียนรู้ไปพร้อมกันได้เลยครับ

Long (BUY) และ Short (SELL) คืออะไร

Long (BUY), Short (SELL) คืออะไร forex
Going Short (เข้าสถานะขาย) and Going Long (เข้าสถานะซื้อ): ภาพแสดงปุ่มใน platform MT4 ที่สำหรับให้เราเลือกที่จะทำการ ขาย (Sell) หรือ ซื้อ (Buy)

Long (BUY) คือ

  • การเปิดสัญญาณซื้อ: หมายความว่าเมื่อเราเปิดออเดอร์ Long (BUY) ด้วยเชื่อว่ากราฟในอนาคตจะมีการวิ่งขึ้นนั่นเอง
  • ถ้าคุณเทรด TFEX คุณอาจคุ้นเคยกับคำว่า “Long” แต่ถ้าเป็นการเทรด forex คำว่า buy น่าจะเป็นคำที่มีความคุ้นเคยมากกว่า
  • ที่มาว่าทำไมเราใช้คำว่า long ที่แปลว่า “ยาว” ทั้งนี่้เนื่องจาก ในทางการเทรดหุ้น ต้องใช้เวลา “นาน” กว่าที่ราคาจะขึ้นไปสูง เมื่อเทียบจำนวนจุดที่เท่ากันกับ short

Short (SELL) คือ

  • การเปิดสัญญาณขาย: หมายความว่าเมื่อเราเปิดออเดอร์ Short (SELL) เราเชื่อว่ากราฟในอนาคตนั้นจะมีการวิ่งลง
  • โดยใน TFEX จะถูกเรียกว่า “short”  แต่ถ้าเป็นในส่วนของ forex เราจะเรียกสัญญาตัวนี้ว่า sell ซึ่งมักเป็นแท่งเทียนสีแดงนั่นเอง (ส่วน Buy แท่งเขียว)
  • สาเหตุที่ว่าทำไมเรียก short ที่แปลว่า “สั้น” นั้น ก็เนื่องจากว่า เวลาเกิดการเทขาย จะมีการเทขายจำนวนมากและในระยะเวลาอันสั้น กราฟราคาก็จะวิ่งลงอย่างรวดเร็ว
Long (BUY), Short (SELL)
Long (BUY), Short (SELL): ภาพแสดงแท่งเทียน (Candle stick) ซ้าย แท่งเทียนขาขึ้น สัญลักษณ์นิยมคือสีเขียว เราจึงทำการเปิดไม้ Buy, ขวา แท่งเทียนขาลง สัญลักษณ์นิยมคือสีแดง เราจึงทำการเปิดไม้ Sell

จุดเด่นของตลาด Forex

ในการทำกำไร ในตลาด Forex นั้น เราจะดูกันเป็น “คู่ค่าเงิน” ตัวอย่างเช่น EUR/USD คือการเปรียบเทียบระหว่างเงินยูโร กับเงิน ดอลล่าห์ โดยตลาด Forex จะต่างจากตลาดหุ้น คือสามารถเทรดได้ทั้งสองทาง ทั้ง “การซื้อและขาย” เล่นได้ทั้ง “ขาขึ้นและขาลง” ตลาดหุ้นซื้อได้อย่างเดียว เล่นได้แต่ขาขึ้น ถ้าเป็นขาลงต้องนอนรออย่างเดียวครับ รูปแบบการเปิดออเดอร์ของตลาด Forex นั้น มี 2 รูปแบบหลัก คือ Long (Buy) และ Short (Sell)

  1. Long (Buy): 
    • เป็นการ “ซื้อที่ราคาถูก” แล้ว “ขายราคาแพง”
    • เราจะทำการเปิดออเดอร์ Long (Buy) ตอนที่ราคากราฟวิ่งลงต่ำ แล้วทำการปิดออเดอร์(Closed) ตอนที่กร๊าฟวิ่งขึ้นสูงเพื่อทำกำไร เรียกว่าเป็นการ “เทรดขาขึ้น” ครับ
    • ตอนเราเปิด Long ก็คือ ส่งคำสั่งซื้อ หรือ Send Buy Order ไปที่ MT4 จะ ทำให้เกิด Long Position ขึ้น
  2. Short (Sell):
    • เป็นการ “ขายราคาแพง” แล้ว “ซื้อกลับตอนราคาถูก”
    • คือเปิดออเดอร์ Short (Sell) ตอนที่กราฟวิ่งขึ้นสูง แล้วทำการปิดออเดอร์ (Closed) ตอนที่กราฟวิ่งลงต่ำเพื่อทำกำไร อย่างนี้เรียกว่าเป็นการ “เทรดขาลง” ครับ
    • ตอนเราเปิด Short ก็คือ ส่งคำสั่งขาย หรือ Send Sell Order ไปที่ MT4 จะเกิด Short Position ขึ้น
Long (BUY), Short (SELL) คืออะไร forex
Long (Buy) เป็นการซื้อที่ราคาถูกแล้วขายราคาแพง เมื่อวิเคราะห์แล้วกราฟมีแนวโน้มขาขึ้น

ตัวอย่าง การเปิดออเดอร์ Long (Buy) “เทรดขาขึ้น”

  1. คุณเปิดออเดอร์ Buy (Long) ที่ราคา 1.33589
  2. ปิดออเดอร์ (Closed) Buy (Long) ที่ราคา 1.35396

เท่ากับว่าคุณทำกำไร ไปได้ 1.35396 – 1.33589 = 0.01807 หรือ 1807 point (180 Pips)

Long (BUY), Short (SELL) คืออะไร forex
Short (Sell) เป็นการขายราคาแพงแล้วซื้อกลับตอนราคาถูก เมื่อวิเคราะห์แล้วกราฟมีแนวโน้มขาลง

ตัวอย่างการเปิดออเดอร์ Short (Sell) “เทรดขาลง”

  1. คุณเปิดออเดอร์ Sell (Short) ที่ราคา 1.37475
  2. ปิดออเดอร์ (Closed) Sell (Short) ที่ราคา 1.33589

เท่ากับว่าคุณทำกำไร  1.37475 – 1.33589 = 0.03886 หรือ 3886 point (388 Pips)

ในการซื้อ-ขายในตลาด Forex ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่า คุณต้องการซื้อ (Buy) หรือ ว่าขาย (Sell)

  • ถ้าคุณต้องการที่จะซื้อ คุณต้องการให้ Base Currency มีค่ามากขึ้นแล้วคุณจะขายมันที่ราคาสูงกว่า แบบนี้เรียกว่า “Going long “ หรือเรียกว่า Long position และที่สำคัญให้จำไว้ว่า Long = Buy
  • ถ้าคุณต้องการที่จะ Sell คุณต้องการให้ราคา Base Currency ลดลง แล้วคุณจะ Buy มันกลับที่ราคาต่ำกว่าเดิม แบบนี้เรียกว่า “Going Short” หรือ เรียกว่า Short position ควรจำไว้ว่า Short = Sell

ในการเทรด Forex สามารถเทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง พร้อมกันได้ (Hedge) ในสกุลเงินเดียวกัน เช่น

  • EUR/USD ซื้อ ที่ 90 ขายที่ 90 คือ sell และ buy พร้อมกัน
  • ทั้งนี้ถ้าเกิดมันขึ้นไปที่ 100 คุณก็จะได้ฝั่ง Buy ที่ +10 จุด เสียฝั่ง sell ที่ -10 จุด
  • แต่หากฝั่ง sell คุณอาจจะยอมตัดขาดทุนแค่ 5 จุด คือ เมื่อกราฟขึ้นมาที่ 95 จุด คุณก็ปิด ออเดอร์ ฝั่ง sell
  • และ เมื่อกราฟขึ้นต่อไปที่ 100 เท่ากับว่าคุณก็จะได้กำไร 5 จุด (ฝั่ง Buy ได้ 10 ฝั่ง Sell เสีย 5)

* แต่ในแง่ความเป็นจริงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะยังมีส่วนของค่าบริการที่โบรกเกอร์เรียกเก็บในทุกๆ หรือเกือบทุกออเดอร์ที่คุณเปิด

  1. Spread
  2. Commission
  3. Swap (เรียกเก็บเฉพาะ Order ข้ามคืน)

ด้วยเหตุนี้บางทีเทคนิค Hedging จึงอาจจะเป็นงูกินหาง คือไม่ได้กำไรที่แท้จริง แถมยังทำให้ “งง” หรือทำให้ระบบการเทรดคุณรวนได้อีกด้วย

Long (BUY), Short (SELL) คืออะไร forex
ซ้าย: มีแนวโน้มขาขึ้นจึงออกคำสั้ง Buy, ขวา: กราฟเกิดการกลับตัว มีแนวโน้มขาลง เราจึงออกคำสั่ง Sell

เครื่องมือช่วยวิเคราะห์สำหรับการตัดสินใจเปิดออเดอร์ Long หรือ Short

การซื้อขายในตลาด Forex อันดับแรกเลยคือ คุณต้องตัดสินใจว่าจะเปิดออเดอร์ Long (BUY) หรือ Short (SELL) และเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ผมมีเครื่องมือ 2 ตัว ที่จะช่วยให้การวิเคราะห์ง่ายและแม่นยำขึ้นในการออกออเดอร์ ดังนี้ครับ

  1. Moving Average (MA)
  • เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา โดยจะแสดงค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่นในช่วง 20 วัน หรือ 50 วัน
  • สามารถ “ดูแนวโน้มจากความชันของเส้น” ตามตารางด้านล่างนี้ครับ
เทคนิคการดู ความหมาย
ราคาอยู่เหนือเส้น MA มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (สัญญาณ Long หรือ BUY)
ถ้าราคาอยู่ใต้เส้น MA มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (สัญญาณ Short หรือ SELL)

หรือนักเทรดอาจจะใช้เส้น MA หลายๆ เส้นร่วมกัน เช่น MA 50 ตัดขึ้นเหนือ MA 200 เป็นสัญญาณ Long ระยะยาว หรือสามารถใช้ทั้งเส้น EMA และเส้น SMA ควบคู่กัน อันนี้ก็เวิร์คเหมือนกันครับ

  1. RSI (Relative Strength Index)
RSI (Relative Strength Index)
พื้นที่ที่เกิด Overbought คือ ราคาอยู่สูงกว่า RSI 70 พิจารณาเปิดออเดอร์ Short (SELL), พื้นที่ที่เกิด Oversold คือ ราคาอยู่ต่ำกว่า RSI 30 ควรมองที่การเปิดออเดอร์ Long (BUY) ครับ
  • RSI เป็นเครื่องมือวัด “การซื้อขายที่มากหรือน้อยเกินไปในตลาด (Overbought/Oversold)” โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 ซึ่งถ้ามีค่าสูงแสดงว่าราคามีแนวโน้มขาขึ้น ส่วนค่าที่ต่ำแสดงว่าราคามีแนวโน้มขาลง
  • ถ้า RSI สูงกว่า 70 คือเป็นสัญญาณที่บอกว่าเกิด Overbought หรือก็คือตอนนี้ มี “การซื้อมากเกินไป” ครับ มีโอกาสที่ราคาจะปรับฐานลง ซึ่งเราสามารถนำไปพิจารณาเปิดออเดอร์ Short (SELL) ได้นั่นเอง
  • แต่ถ้า RSI ต่ำกว่า 30 จะเป็นสัญญาณที่บอกว่าเกิด Oversold หรือ “การขายมากเกินไป” แทน มีโอกาสสูงมากที่ราคาจะดีดตัวกลับขึ้นไป ดังนั้นจึงควรมองที่การเปิดออเดอร์ Long หรือ BUY ครับ

ความเสี่ยงในการ Long (BUY), Short (SELL) ในตลาด Forex 

ในการเทรด Forex นั้นมีความเสี่ยงหลายประการที่ต้องพิจารณา ได้แก่

1. ความผันผวนของตลาด

ตลาด Forex เป็นหนึ่งในตลาดที่ “มีความผันผวนสูงที่สุด” ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็ว หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับที่คาดหวัง

2. อัตราดอกเบี้ย

การเปลี่ยนแปลงในนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา (FED) สามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงิน ดังนี้ครับ
    • หากอัตราดอกเบี้ย “เพิ่มขึ้น” สกุลเงินมักจะ “แข็งค่า”
    • และหาก “ลดลง” สกุลเงินมักจะ “อ่อนค่า”

3. ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค

ข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น รายงาน GDP, อัตราการว่างงาน และดุลการค้า สามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินได้ เช่น หากข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ถึงการชะลอตัว สกุลเงินอาจอ่อนค่าลง

4. ปัจจัยทางการเมืองและความไม่แน่นอน

เหตุการณ์ทางการเมือง ความไม่มั่นคง และข้อตกลงการค้าสามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินได้ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจทำให้สกุลเงินอ่อนค่าลงได้

5. การใช้เลเวอเรจ

การใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อยอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ซึ่งการเทรดสินทรัพย์ CFD หรือ Forex นั้นนิยมใช้ Leverage ที่สูงในการเทรด)

การเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้และการมีกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยงที่ดี เช่น การใช้คำสั่งหยุดขาดทุน (stop-loss orders) และการจำกัด Lot Size สามารถช่วยลดผลกระทบของความเสี่ยงเหล่านี้ได้

การตัดสินใจออกออเดอร์

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเทรด Long และ Short

“การเทรด Long คือการเทรดที่ปลอดภัยกว่าการเทรด Short” 

ความจริง: ในตลาด Forex นั้น ทั้งการเทรด Long และ Short มีความเสี่ยงพอ ๆ กัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดและการจัดการความเสี่ยงของเทรดเดอร์เอง 

“การเทรด Short เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพเท่านั้น” 

ความจริง: นักเทรดมือใหม่ก็สามารถเทรด Short ได้ หากเข้าใจวิธีการ (อย่างการเทรดชนข่าวในระยะเวลา 15-30 นาที) และทำการเปิดล็อตที่เหมาะสม เช่น 0.01 บนเงินทุน 100$ และมี Stop Loss ชัดเจน ในกรณีที่ผิดทาง เป็นต้น

“ผลตอบแทนจากการเทรด Short มีมากกว่าการเทรด Long” 

ความจริง: ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับตลาด ขนาดของ Lot และการตัดสินใจของเทรดเดอร์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นการเทรด Long หรือ Short 

“การเทรด Long และ Short เป็นเรื่องง่ายที่ใครก็ทำได้” 

ความจริง: การเทรดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน เทคนิคอะไร ก็ต้องเทรดแบบมีความรู้, มีการวิเคราะห์ และมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี 

“การเทรด Short มักได้ผลลัพธ์ที่เป็นลบ” 

ความจริง: การเทรด Short สามารถสร้างกำไรได้เมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางลง ที่สำคัญคือ “การวิเคราะห์ตลาดอย่างถูกต้อง” 

“การใช้เลเวอเรจสูงๆ สำหรับการเทรดจะช่วยเพิ่มผลกำไร” 

ความจริง: การใช้เลเวอเรจที่สูงสามารถ “ช่วยเพิ่มกำไรได้จริง” แต่คุณก็ต้อง “ยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย” 

“ต้องใช้ทุนเยอะ ในการเริ่มต้นการเทรด”

ความจริง: การเทรดไม่ว่าทั้ง Long และ  Short สามารถเริ่มต้นด้วยทุนน้อยๆ ได้สำหรับบางโบรกเกอร์ มีให้ฝากตั้งแต่ 1 ดอลลาร์ขึ้นไป (บัญชี Cent) เพื่อเริ่มต้นการเทรดได้

* ความเข้าใจผิด เหล่านี้บางส่วนเกิดจากการนำเอาความรู้ในการเทรด “หุ้น” มาใช้ ซึ่งเป็นการเทรดแบบขาเดียว คือ “ขา ฺBuy” (ซื้อราคาต่ำขายราคาสูง) มาปะปนกับการเทรดแบบ CFD หรือ Forex ซึ่งสามารถเทรดได้ทั้ง “ขาขึ้นและขาลง”

สรุป

จุดเด่นของตลาด Forex คือเราสามารถเล่นได้ทั้ง 2 ฝั่ง Long (BUY) และ Short (SELL) การเปิด Oder ทุกครั้งเราจะต้องวางแผนการเทรดให้ชัดเจน เช่น หากเราเปิด Oder Buy เราจะเปิดตรงจุดไหน และเราจะวาง Stop Loss ตรงจุดไหน ต้องคำณวณหน้าตัก หรือเงินทุนให้ดี

มือใหม่แนะนำใช้ Leverage 1:100 และเปิดขนาดสัญญาที่ 0.01 (ต่อทุน100$) ประโยชน์ของ Long (BUY) และ Short (SELL) คือเราสามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ฝั่ง อย่าลืมว่าการเปิด Oder ต้องมีการวาง Stop Loss ทุกครั้งเพื่อจำกัดการขาดทุน

ทีมงาน: forexthai.in.th

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments