การเทรด Forex ด้วย Breakout คือ การเทรดที่รอราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง ที่ผ่านการทดสอบมาด้วยระยะเวลาที่นานพอประมาณ Breakout ที่จะเข้าไปทำกำไรได้นั้น มักจะมีคุณสมบัติดังนี้

  • Breakouts ที่เป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม:

Breakout ประเภทนี้ ราคามักจะทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับ หลังจากเคลื่อนไหวในทิศทางเดิมมาเป็นเวลานาน อย่างเช่น ราคาอาจจะวิ่งเป็นขาขึ้นมานาน เคยทะลุผ่านแนวต้านมาแล้วหลายรอบ โดยที่ไม่เคยผ่านแนวรับเลย จนเมื่อไม่อาจวิ่งผ่านแนวต้านได้อีกแต่กลับทะลุผ่านแนวรับได้ นี่คือสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นเอง

  • Breakouts ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลายาวย่อมดีกว่าสั้น:

Breakout ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลา 1 ชั่วโมง อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่สั้นกว่า ในขณะที่ Breakout ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลารายวัน อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่ยาวกว่า ดังนั้น โอกาสที่จะทำกำไรดี ๆ จึงมีมากกว่า

เห็นได้ว่า Breakouts เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเทรด Forex อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าบางครั้ง Breakout อาจเป็นสัญญาณปลอม (False Breakout) ก็มีได้ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

การเทรด Forex ด้วย Breakout
การเทรด Forex ด้วย Breakout คือ ควรรอให้ราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่งก่อน

เทคนิคการเทรดด้วย Breakout

Breakouts ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร กับการเทรด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่ว่าเทรดเดอร์ควรมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมด้วย ซึ่งเทคนิคการเทรดด้วย Breakout มีดังนี้

  • รอการยืนยันที่ชัดเจนก่อน: เทรดเดอร์ควรรอสัญญาณการยืนยันก่อนที่จะเปิดออเดอร์ สัญญาณการยืนยันจากแท่งเทียน หรือสัญญาณจากตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น สัญญาณ Overbought หรือ Oversold ประกอบการตัดสินใจด้วย
  • ต้องมีการบริหารความเสี่ยง: เทรดเดอร์ควรใช้การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อจำกัดการสูญเสียหาก Breakout เป็นสัญญาณปลอม อย่างเช่น เทรดเดอร์สามารถใช้ Stop Loss เพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียเงินมากเกินไปนั่นเอง

การเทรด Breakout ที่วิ่งผ่านแนวต้านหรือแนวรับหลายระดับ จะแสดงถึงความแข็งแกร่งของสัญญาณ Breakout ที่ดี สามารถเทรดตามได้จนกว่าจะมีสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ชัดเจน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด Breakout

ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวผลักดันให้ราคาสามารถทำการ Breakout แนวรับหรือแนวต้านได้นั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 อย่าง คือ

  • Volatility (ความผันผวน): ความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์
  • Volume (ปริมาณการซื้อขาย): จำนวนของคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์

ปัจจัยทั้งสองอย่างนี้ ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ราคาสามารถที่จะทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านต่าง ๆ ไปได้ จนก่อให้เกิดการ Breakout ทั้งตามแนวโน้มเดิมหรือการเปลี่ยนแนวโน้ม

Volatility
Volatility คือความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง

Volatility คืออะไร

Volatility (ความผันผวน) คือ ความแปรปรวนของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะวัดเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น วัน สัปดาห์ เดือน หรือปี Volatility ของราคาสินทรัพย์เกิดได้จากปัจจัยหลายประการ ดังนี้

  • ปัจจัยพื้นฐาน: เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
  • ปัจจัยทางเทคนิค: เช่น การเคลื่อนไหวของราคาในอดีต การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อื่น ๆ
  • ปัจจัยทางจิตวิทยา: เช่น อารมณ์ของนักลงทุน ความคาดหวังของนักลงทุน

Volatility ของราคาสินทรัพย์มีบทบาทสำคัญในการเทรดด้วย Breakout มาก เพราะนักเทรดจะชอบเทรดคู่เงินที่มีความผันผวนสูง เพราะมีโอกาสในการทำกำไรได้สูง

Volume
Volume คือจำนวน Lot ของคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดในช่วงเวลาหนึ่ง

Volume คืออะไร

Volume (ปริมาณการซื้อขาย) คือ จำนวน Lot ของคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะวัดเป็นจำนวน วัน สัปดาห์ เดือน หรือปีเป็นต้น Volume ของสินทรัพย์เกิดจากปัจจัยหลายอย่างดังนี้

  • ปัจจัยพื้นฐานจากข่าว: เช่น ข่าวการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ข่าวการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ข่าวการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
  • ปัจจัยจากสัญญาณทางเทคนิค: เช่น การเคลื่อนไหวของราคาในอดีต การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อื่น ๆ
  • ปัจจัยจากนักลงทุน: เช่น อารมณ์ของนักลงทุน ความคาดหวังของนักลงทุน

Volume การซื้อขายของ Forex มีบทบาทสำคัญในการเทรด Breakout มาก เพราะโดยทั่วไปแล้ว นักเทรดจะชอบเทรดคู่เงินที่มีปริมาณการซื้อขายสูง เพราะบ่งชี้ว่าคู่เงินนั้นได้รับความนิยมและมีผู้สนใจเทรดจำนวนมาก

ความสัมพันธ์ระหว่าง Volatility และ Volume

Volatility และ Volume โดยทั่วไปแล้ว ความผันผวนของราคาสินทรัพย์จะสัมพันธ์กับปริมาณการซื้อขาย กล่าวคือ สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงมักจะมีปริมาณการซื้อขายสูงเช่นกัน

  • ตัวอย่างเช่น: หากราคา EUR/USD มีแนวโน้มที่จะผันผวนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนมักจะเข้ามาซื้อขาย EUR/USD มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายของ EUR/USD นั้นเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่าง Volatility และ Volume ก็ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบเสมอไป บางครั้งสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำก็อาจมีปริมาณการซื้อขายสูงได้เช่นกัน

การใช้ Volatility และ Volume
การใช้ Volatility และ Volume ในการเทรด Forex ช่วยให้เลือกคู่เงินได้ดีขึ้น

การใช้ Volatility และ Volume ในการเทรด

Volatility และ Volume เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเทรด Forex ด้วยเช่นกัน นักเทรดสามารถใช้ Volatility และ Volume วิเคราะห์แนวโน้มของราคาสินทรัพย์เพื่อหาโอกาสในการเทรดได้

  • ตัวอย่างเช่น: นักเทรดอาจใช้ Volatility เพื่อระบุสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ซึ่งมีโอกาสในการทำกำไรได้สูง และใช้ Volume เพื่อระบุสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากปริมาณการซื้อขายของสินทรัพย์ตัวนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในสินทรัพย์นั้น และสินทรัพย์นั้นมีโอกาสที่จะทำกำไรได้

อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรใช้ Volatility และ Volume ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำของการวิเคราะห์

ประเภท Breakouts ตามทิศทางราคา

ประเภทของ Breakouts ตามทิศทางของราคาที่กำลังวิ่งอยู่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

Trend Breakout (ตามแนวโน้ม):

เป็นการทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับที่สอดคล้องกับแนวโน้มของราคา อย่างเช่น หากราคากำลังเคลื่อนไหวเป็นขาขึ้นและทะลุผ่านแนวต้าน แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังดำเนินต่อไป

Countertrend Breakout (สวนแนวโน้ม):

เป็นการทะลุผ่านแนวต้านหรือแนวรับที่สวนกับแนวโน้มของราคา อย่างเช่น ราคากำลังเคลื่อนไหวเป็นขาขึ้นแต่กลับมีการทะลุผ่านแนวรับได้ แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังอ่อนแรงลง

นอกจากนี้ Breakouts ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทย่อย ๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น กรอบเวลา, ระดับของแนวรับหรือแนวต้าน, ปริมาณการซื้อขาย และตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้

Breakouts ตามทิศทางราคา
ประเภท Breakouts ตามทิศทางราคา Trend Breakout และ Countertrend Breakout

ประเภท Breakouts ตาม Zone ที่ราคาทดสอบ

ประเภทของ Breakouts ตามจุด Zone ต่าง ๆ ที่ราคาได้ทำการทดสอบ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

Support or Resistance Breakout:

เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด เป็นการทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งค่ามาเป็นเวลานาน แนวรับหรือแนวต้านเหล่านี้อาจเป็นแนวรับหรือแนวต้านทางเทคนิค เงื่อนไขหรือข้อกำหนดของ Breakout แนวรับหรือแนวต้าน ได้แก่

  • ราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านด้วยแท่งเทียนที่ปิดเหนือหรือต่ำกว่าแนวรับหรือแนวต้าน
  • ราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
  • ราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านหลังจากเคลื่อนไหวในทิศทางเดิมมาเป็นเวลานาน

Multi-level Resistance Breakout:

เป็นประเภทที่แข็งแกร่งกว่า Breakout แนวรับหรือแนวต้านปกติ เป็นการทะลุผ่านแนวต้านหลายระดับในระยะเวลาอันสั้น แนวรับหรือแนวต้านเหล่านี้อาจเป็นแนวรับหรือแนวต้านทางเทคนิค เงื่อนไขหรือข้อกำหนดของ Breakout แนวต้านหลายระดับ ได้แก่

  • ราคาทะลุผ่านแนวต้านหลายระดับด้วยแท่งเทียนที่ปิดเหนือหรือต่ำกว่าแนวต้านแต่ละระดับ
  • ราคาทะลุผ่านแนวต้านหลายระดับด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
  • ราคาทะลุผ่านแนวต้านหลายระดับหลังจากเคลื่อนไหวในทิศทางเดิมมาเป็นเวลานาน
Breakouts ตาม Zone
Breakouts ตาม Zone รูปแบบ Multi-level Resistance Breakout และ Support or Resistance Breakout

ประเภท Breakouts ทางเทคนิค

นอกจากประเภทของ Breakout ตามที่แสดงมาก่อนหน้านี้แล้ว ยังมี Breakout ประเภทอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ที่ใช้การวิเคราะห์เชิงเทคนิคเพื่องระบุลักษณะการ Breakout อีก ได้แก่

Hidden Support or Resistance Breakout:

เป็น Breakout แนวรับหรือแนวต้านแบบซ่อน เป็นประเภทที่ราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น แนวรับหรือแนวต้านที่เกิดจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

Inverted Head and Shoulders Breakout:

เป็น Breakout รูปแบบหัวและไหล่กลับด้าน เป็นประเภทที่ราคาทะลุผ่านแนวต้านที่เกิดจากการฟอร์มตัวเป็นรูปแบบกราฟราคาแบบหัวและไหล่

Head and Shoulders Breakout:

เป็น Breakout จากรูปแบบราคาหัวและไหล่ เป็นประเภทที่ราคาทะลุผ่านแนวรับที่เกิดจากการฟอร์มตัวเป็นรูปแบบกราฟราคาแบบหัวและไหล่

สำหรับรูปแบบของราคาแบบอื่น ๆ นักเทรดควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ในการระบุประเภทของ Breakout ที่เหมาะสม เช่น ปัจจัยทางเทคนิค ปัจจัยทางพื้นฐาน และประสบการณ์และความรู้ของตนเองประกอบกัน

Head and Shoulders Breakout
ประเภท Breakouts ทางเทคนิครูปแบบ Head and Shoulders Breakout

การระบุการเกิด Breakouts

เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การระบุการเกิด Breakouts สามารถกำหนดได้โดยใช้ปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

แนวรับหรือแนวต้าน:

Breakouts มักเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งค่าหรืออ่อนค่ามาเป็นเวลานานทางเทคนิค เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือแนวรับหรือแนวต้านทางพื้นฐาน เช่น ระดับแนวรับทางจิตวิทยา หรือระดับแนวรับทางเศรษฐกิจ

ปริมาณการซื้อขาย:

Breakouts มักมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่านักลงทุนจำนวนมากกำลังเข้าหรือออกจากตลาด

แท่งเทียนยืนยัน:

Breakouts มักมาพร้อมกับแท่งเทียนยืนยัน เช่น แท่งเทียนกลืนกิน แท่งเทียนเหล่านี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่:

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถช่วยระบุแนวรับหรือแนวต้านได้ ตัวอย่างเช่น ราคาอาจทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป

ตัวชี้วัดโมเมนตัม:

ตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น MACD และ RSI สามารถช่วยระบุแนวโน้มได้ ตัวอย่างเช่น MACD ที่ตัดขึ้นเหนือเส้นศูนย์บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป

โดยสรุปแล้ว การระบุการเกิด Breakouts สามารถทำได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค นักเทรดควรใช้ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการระบุการเกิด Breakouts

การวัดความแรงของ Breakout

มีวิธีวัดความแรงของ Breakouts หลายวิธี ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีวัดความแรงของ Breakouts โดยใช้ปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

ขนาดของแท่งเทียน:

Breakouts ที่มาพร้อมกับแท่งเทียนขนาดใหญ่บ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และราคามีแนวโน้มที่จะวิ่งได้ไกลขึ้น

ปริมาณการซื้อขาย:

Breakouts ที่มาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่านักลงทุนจำนวนมากกำลังเข้าหรือออกจากตลาด และราคามีแนวโน้มที่จะวิ่งได้ไกลขึ้น

ระยะเวลา:

Breakouts ที่ใช้เวลานานขึ้นในการทะลุผ่านแนวต้านบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และราคามีแนวโน้มที่จะวิ่งได้ไกลขึ้น

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่:

Breakouts ที่ทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายระดับบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และราคามีแนวโน้มที่จะวิ่งได้ไกลขึ้น

ตัวชี้วัดโมเมนตัม:

ตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น MACD และ RSI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และราคามีแนวโน้มที่จะวิ่งได้ไกลขึ้น

โดยสรุปแล้ว วิธีวัดความแรงของ Breakouts นั้นไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่ถูกต้องที่สุด นักเทรดควรใช้ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมกันเพื่อประเมินความแรงของ Breakouts และกำหนดระยะทางของราคาที่จะวิ่งไปถึงได้

Breakout คือ อะไร ?
การวัดความแรงของ Breakout ต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่า Breakouts ไม่ได้รับประกันว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป บางครั้ง Breakouts อาจเป็นสัญญาณปลอม (False Breakout) ซึ่งหมายความว่าราคาจะกลับเข้ามาสู่แนวต้านหรือแนวรับเดิมได้ นักเทรดควรใช้การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อจำกัดการสูญเสียหาก Breakout เป็นสัญญาณปลอมนั่นเอง

ทีมงาน: forexthai.in.th

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments