การทำความรู้จักกับทฤษฎีคลื่น Elliott Wave จะช่วยให้ทำกำไรจาก Forex ได้ง่ายขึ้นเยอะ เพราะเป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีเทรดเดอร์ใช้ในการเทรดทุกระบบเลยก็ว่าได้ ซึ่งทฤษฎีคลื่น Elliott Wave คือ การระบุและอธิบายคลื่นต่าง ๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดซ้ำ ๆ ในระยะยาว ในตลาดการลงทุนทั่วไป

ทฤษฎี Elliott Wave ถูกคิดค้นขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ในช่วงทศวรรษ 1930 และได้รับการพัฒนาต่อโดย Robert Prechter ในช่วงทศวรรษ 1970

Elliott Wave คือ อะไร
ทฤษฎี Elliott Wave ถูกคิดค้นขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ในช่วงทศวรรษ 1930

โครงสร้างของคลื่น Elliott Wave

ตามทฤษฎีของคลื่น Elliott Wave การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการลงทุน สามารถแบ่งออกเป็นคลื่นย่อย ๆ ที่จำแนกออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

Primary Wave คลื่นหลัก:

คลื่นหลักเป็นคลื่นที่ใหญ่ที่สุดและใช้เวลานานที่สุด คลื่นหลักสามารถแบ่งออกเป็น 3 คลื่นย่อย ๆ ได้แก่

  • Leading Wave (คลื่นนำ)
  • Corrective Wave (คลื่นปรับฐาน)
  • Second Leading Wave (คลื่นนำที่สอง)

Intermediate Wave คลื่นย่อย:

คลื่นย่อยเป็นคลื่นที่เล็กกว่าคลื่นหลัก คลื่นย่อยสามารถแบ่งออกเป็น 3 คลื่นย่อย ๆ ได้แก่

  • Impulse Wave (คลื่นกระทุ้ง)
  • Corrective Wave (คลื่นปรับฐาน)
  • Second Impulse Wave (คลื่นกระทุ้งที่สอง)

Minor Wave คลื่นเล็กสุด:

Minor Wave เป็นคลื่นย่อยของคลื่นย่อยอีกที เป็นคลื่นที่เล็กที่สุด คลื่นย่อยย่อยสามารถแบ่งออกเป็น 3 คลื่นย่อย ๆ ได้แก่

  • Impulse Wave (คลื่นกระทุ้ง)
  • Corrective Wave (คลื่นปรับฐาน)
  • Second Impulse Wave (คลื่นกระทุ้งที่สอง)
โครงสร้างของคลื่น Elliott Wave
โครงสร้างของคลื่น Elliott Wave แบ่งออกเป็น 3 คลื่นย่อย Primary Wave/Intermediate Wave/Minor Wave

จะเห็นได้ว่าคลื่นแต่ละประเภทสามารถแบ่งออกเป็นสามคลื่นย่อย ๆ ได้อีก ทำให้เกิดรูปแบบคลื่นที่ซ้ำซ้อนกันที่เรียกว่า fractal ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถพบได้ในทุกสินทรัพย์ในตลาด Forex รวมถึงหุ้น ตราสารหนี้ และคริปโตเคอเรนซีด้วย

ข้อดีและข้อเสียของคลื่น Elliott Wave

ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave สามารถใช้เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของทิศทางราคาในอนาคตได้ โดยนักวิเคราะห์จะใช้รูปแบบคลื่นเพื่อระบุแนวโน้มของตลาดและจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม ในการใช้งานจะมีข้อดีและข้อเสียของคลื่น Elliott Wave ดังนี้

ข้อดีของการใช้ทฤษฎี Elliott Wave:

  • สามารถช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น
  • สามารถช่วยให้นักลงทุนระบุจุดเข้า-ออกที่เหมาะสมได้
  • สามารถช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงในการลงทุนได้

ข้อเสียของการใช้ทฤษฎี Elliott Wave:

  • ต้องใช้ทักษะและความรู้ในการตีความรูปแบบคลื่น
  • รูปแบบคลื่นอาจไม่ชัดเจนเสมอไป
  • ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จในการลงทุนได้

Motive Waves และ Corrective Waves คืออะไร

Motive Waves คือ รูปแบบ 5 คลื่นที่เคลื่อนไหวไปเป็นแนวโน้มหลัก และเมื่อวิ่งจบครบคลื่นที่ 5 ก็จะเปลี่ยนเป็น Corrective Waves คือรูปแบบ 3 คลื่น เพื่อพักตัวหรือเปลี่ยนแนวโน้ม

ทั้ง Motive Waves และ Corrective Waves “เป็นรูปแบบคลื่นหลัก (Primary Wave)” ตามทฤษฎี Elliott Wave ซึ่งทั้งสองแบบนี้จะเป็นโครงสร้างหลักของทฤษฎีนี้เลย

กฎของ Motive Waves รูปแบบ 5 คลื่น ที่เคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มใหญ่

กฎของ Motive Waves รูปแบบ 5 คลื่น

รูปแบบคลื่น Motive Wave จะมีโครงสร้างที่เป็นส่วนประกอบ 5 คลื่น เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มใหญ่ โดยมีกฎ 3 ข้อ สำหรับ Motive Wave ดังนี้

  • คลื่นที่ 2 จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 เสมอ ในแนวโน้มขาขึ้น และจะไม่วิ่งขึ้นไปสูงกว่าจุดเริ่มต้นเช่นกัน ในแนวโน้มขาลง
  • คลื่นที่ 4 จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 เสมอ ในแนวโน้มขาขึ้น และจะไม่วิ่งขึ้นไปสูงกว่าคลื่นที่ 3 เช่นกัน ในแนวโน้มขาลง
  • คลื่นที่ 3 จะเป็นคลื่นที่ไม่สั้นที่สุด จะยาวกว่าคลื่นที่ 1 หรือ 5 เสมอ เมื่อมีคลื่นหนึ่งคลื่นใดยาวที่สุด

โครงสร้างที่เป็นส่วนประกอบ 5 คลื่นของ Motive Wave นี้ จะเป็นทั้งโครงสร้างของภาพใหญ่และภาพเล็กที่อยู่ภายในย่อยลงไปเรื่อย ๆ เสมอ

กฎของ Corrective Waves
กฎของ Corrective Waves รูปแบบ 3 คลื่น รูปแบบการปรับฐานของแนวโน้มหลัก

กฎของ Corrective Waves รูปแบบ 3 คลื่น

Corrective Waves รูปแบบ 3 คลื่น คือรูปแบบการปรับฐานของแนวโน้มหลัก ประกอบด้วยการกำหนดว่าเป็นคลื่น A, คลื่น B, และคลื่น C กฎของ Corrective Waves รูปแบบ 3 คลื่น มีดังนี้

  • คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน
  • คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C
  • คลื่น B สามารถเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักได้ แต่มักจะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C

ความแตกต่างระหว่าง Motive Wave และ Corrective Wave

Motive Wave และ Corrective Wave เป็น “สองประเภทของคลื่นหลักในการวิเคราะห์” คลื่นของ Elliott Wave

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Motive Wave และ Corrective Wave มีดังนี้

  • ทิศทาง: Motive Wave เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก ในขณะที่ Corrective Wave เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
  • ความยาว: Motive Wave มักจะมีความยาวมากกว่า Corrective Wave
  • ความถี่: Motive Wave มักจะเกิดขึ้นน้อยกว่า Corrective Wave

Impulse Wave คืออะไร

Impulse Wave คือ คลื่นขยาย เป็นคลื่นหลักที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางเทรนด์แนวโน้มหลัก ประกอบด้วยคลื่น 1, คลื่น 3, และคลื่น 5 และกฎ 3 ข้อของ Impulse Wave จะมีดังนี้

  • คลื่นย่อยของคลื่นใหญ่จะมีรูปแบบเดียวกัน
  • คลื่นย่อยแต่ละคลื่นจะมีความยาวและแรงใกล้เคียงกัน
  • คลื่นที่ 3 ของคลื่นขยายมักจะยาวที่สุด
รูปแบบคลื่นขยาย
รูปแบบคลื่นขยาย Impulse Waves เป็นคลื่นหลักที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางเทรนด์แนวโน้มหลัก

รูปแบบคลื่นขยาย Impulse Waves

รูปแบบคลื่นขยาย Impulse Waves ยังสามารถแบ่งออกได้อีก โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบย่อย ได้แก่

  • Normal Extension รูปแบบคลื่นขยายปกติ:
    • คลื่นที่ 3 จะมีความยาวมากกว่าคลื่นที่ 1 และคลื่น 5 ประมาณ 50-61.8%
  • Extended Extension รูปแบบคลื่นขยายส่วนเกิน:
    • คลื่นที่ 3 จะมีความยาวมากกว่าคลื่นที่ 1 และคลื่น 5 มากกว่า 61.8%

การระบุรูปแบบ Impulse Waves

การระบุรูปแบบคลื่นขยาย Impulse Waves สามารถทำได้โดย “การวิเคราะห์ลักษณะของคลื่นย่อยแต่ละคลื่น” โดยคลื่นที่ 3 ควรมีความยาวมากกว่าคลื่นที่ 1 และคลื่น 5

รูปแบบ Extended Extension
ตัวอย่างรูปแบบ Extended Extension

ตัวอย่างรูปแบบ Extended Extension

  • คลื่น 1 : 100
  • คลื่น 2 : 20
  • คลื่น 3 : 200
  • คลื่น 4 : 38.2
  • คลื่น 5 : 161.8

Diagonal Wave คืออะไร

Diagonal Wave คือ การพักตัวของราคาในแนวโน้มหลัก จะอยู่ในช่วงของคลื่นที่ 2 และ 4 ตามรูปแบบ Motive Wave เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวในลักษณะของการพักตัว Diagonal Wave ประกอบด้วยคลื่นย่อย 3 คลื่น ได้แก่

  • Wave A: คลื่นแรกเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลง
  • Wave B: คลื่นที่สองเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลง โดยมักจะสั้นกว่าคลื่น A
  • Wave C: คลื่นที่สามเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลง โดยมักจะมีความยาวใกล้เคียงกับคลื่น A

Diagonal Wave และ Corrective Waves ต่างกันอย่างไร

Diagonal Wave และ Corrective Waves ต่างก็เป็นรูปแบบคลื่นหลักในการวิเคราะห์คลื่นของ Elliott Wave ที่มีการนับคลื่นแบบ ABC 3 คลื่น คล้าย ๆ กัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้

  • ทิศทาง: Diagonal Wave เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก ในขณะที่ Corrective Wave เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
  • ความยาว: Diagonal Wave มักจะมีความยาวใกล้เคียงกับคลื่นหลัก ในขณะที่ Corrective Wave มักจะมีความยาวสั้นกว่าคลื่นหลัก
  • ความถี่: Diagonal Wave มักจะเกิดขึ้นน้อยกว่า Corrective Wave

คลื่นรูปแบบ Pennant เป็นอย่างไร

คลื่นรูปแบบ Pennant เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Diagonal Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับธง โดยประกอบด้วยคลื่นย่อย 3 คลื่น ได้แก่ คลื่น A, คลื่น B, และคลื่น C

  • คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลง เป็นคลื่นเริ่มต้นของรูปแบบ
  • คลื่น B: เป็นคลื่นต่อมาที่เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A และมีความยาวสั้นกว่าคลื่น A
  • คลื่น C: เป็นคลื่นที่วิ่งไปในทิศทางเดียวกับคลื่น A และมีขนาดใกล้เคียงกับคลื่น A

คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Pennant

รูปแบบคลื่น Pennant มักมีอัตราส่วน 5-3-5 โดยคลื่น A = 5, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้

  • คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน มีคลื่นภายใน 5 คลื่น เหมือนกัน
  • คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C มีคลื่นภายใน 3 คลื่น
  • คลื่น B จะแคบกว่าคลื่น A และคลื่น C
  • คลื่น B จะสิ้นสุดที่เส้นแนวต้านหรือแนวรับของคลื่น A
คลื่นรูปแบบ Pennant
ภาพตัวอย่างโครงสร้างของคลื่นรูปแบบ Pennant

การใช้งานคลื่นรูปแบบ Pennant

คลื่นรูปแบบ Pennant สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้

  • หากคลื่น C ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
  • หากคลื่น C สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง

นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Pennant ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Pennant ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว

คลื่นรูปแบบ Flags เป็นอย่างไร

คลื่นรูปแบบ Flags เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Diagonal Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับธง โดยประกอบด้วยคลื่นย่อย 3 คลื่น ได้แก่ คลื่น A, คลื่น B, และคลื่น C ดังนี้

  • คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลงที่เริ่มต้นของรูปแบบ
  • คลื่น B: เป็นคลื่นที่วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A และสั้นกว่าคลื่น A
  • คลื่น C: เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับคลื่น A และมีขนาดใกล้เคียงกับคลื่น A

คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Flags

รูปแบบคลื่น Flags มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้

  • คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน แต่คลื่นภายในของ A มีแค่ 3 ส่วนคลื่น C จะมี 5
  • คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C และมีคลื่นภายใน 3 คลื่น เหมือน A
  • คลื่น B จะแคบกว่าคลื่น A และคลื่น C
  • คลื่น B จะสิ้นสุดที่เส้นแนวต้านหรือแนวรับของคลื่น A
คลื่นรูปแบบ Flags
ภาพตัวอย่างโครงสร้างของคลื่นรูปแบบ Flags

การใช้งานคลื่นรูปแบบ Flags

คลื่นรูปแบบ Flags สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้

  • หากคลื่น C ของรูปแบบ Flags ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
  • หากคลื่น C สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง

นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Flags ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ โดยหากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Flags ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว

คลื่นรูปแบบ Zigzag เป็นอย่างไร

คลื่นรูปแบบ Zigzag เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Corrective Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน โดยคลื่นขาขึ้นจะสั้นกว่าคลื่นขาลง

  • คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลงที่เป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบ
  • คลื่น B: เป็นคลื่นที่วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A และมีความยาวสั้นกว่าคลื่น A
  • คลื่น C: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลงที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับคลื่น A และมีขนาดใกล้เคียงกับคลื่น A

คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Zigzag

รูปแบบคลื่น Zigzag มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้

  • คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน
  • คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C
  • คลื่น B จะแคบกว่าคลื่น A และคลื่น C
  • คลื่น B จะสิ้นสุดที่เส้นแนวต้านหรือแนวรับของคลื่น A
คลื่นรูปแบบ Zigzag
ภาพตัวอย่างโครงสร้างของคลื่นรูปแบบ Zigzag

การใช้งานคลื่นรูปแบบ Zigzag

คลื่นรูปแบบ Zigzag สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้ โดย

  • หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Zigzag ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
  • หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Zigzag สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง

นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Zigzag ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ โดยหากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Zigzag ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว

คลื่นรูปแบบ Flat เป็นอย่างไร

คลื่นรูปแบบ Flat เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Corrective Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน โดยคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงจะมีความใกล้เคียงกัน

  • คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลงที่เริ่มรูปแบบ
  • คลื่น B: เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A
  • คลื่น C: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลงที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับคลื่น A

คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Flat

รูปแบบคลื่น Flat มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้

  • คลื่น A คลื่น B และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน
  • คลื่น A และคลื่น B จะมีคลื่นภายใน 3 คลื่นเหมือนกัน
  • คลื่น C จะมีคลื่นภายใน 5 คลื่น
คลื่นรูปแบบ Flat
ภาพตัวอย่างโครงสร้างของคลื่นรูปแบบ Flat

การใช้งานคลื่นรูปแบบ Flat

คลื่นรูปแบบ Flat สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้ โดย

  • หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Flat ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
  • หากคลื่น C สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง

นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Flat ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ โดยหากคลื่น C ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว

คลื่นรูปแบบ Triangle / Triangles เป็นอย่างไร

เป็นคลื่นปรับฐานที่เคลื่อนไหวเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลง โดย “คลื่นจะแคบลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ้นสุด”

คลื่นรูปแบบ Triangle เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Motive Wave และ Corrective Wave มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน

คลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles ต่างกันอย่างไร

คลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles ต่างก็เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Elliott Wave รูปแบบหนึ่ง แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการ ดังนี้

แนวโน้ม:

  • Triangles ของรูปแบบ Diagonal Wave เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก
  • Triangle ของรูปแบบ Corrective Waves เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก

อัตราส่วน:

  • Triangles ของรูปแบบ Diagonal Wave มักมีอัตราส่วน 5-3-5 โดยคลื่น A = 5, B = 3, และ C จะเท่ากับ 5
  • Triangle ของรูปแบบ Corrective Waves มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, B = 3, และ C จะเท่ากับ 5

จุดสิ้นสุด:

  • Triangles ของรูปแบบ Diagonal Wave จะสิ้นสุดที่จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของคลื่นหลัก
  • Triangle ของรูปแบบ Corrective Waves จะสิ้นสุดที่จุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดของคลื่นย่อยก่อนหน้า

โดยสรุป

  • คลื่นรูปแบบ Triangle เป็นรูปแบบคลื่นย่อยที่เฉพาะเจาะจงของ Elliott Wave ที่มีรูปแบบที่ชัดเจน และสามารถระบุได้ง่าย
  • ในขณะที่ Triangles เป็นรูปแบบคลื่นย่อยที่กว้างกว่า โดยสามารถเป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Elliott Wave รูปแบบใดก็ได้ที่มีคลื่นย่อย 3 คลื่นที่มีความยาวใกล้เคียงกัน

Triangle และ Triangles มี 3 รูปแบบ

คลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles โดยรวมแล้วไม่ได้ต่างกัน หมายถึงเป็นรูปแบบคลื่นย่อยรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

Ascending Triangle
Ascending Triangle เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มขาขึ้น

Ascending Triangle:

เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มขาขึ้น โดยคลื่น A และคลื่น C จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน และคลื่น B จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก

Descending Triangle
Descending Triangle เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มขาลง

Descending Triangle:

เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มขาลง โดยคลื่น A และคลื่น C จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกัน และคลื่น B จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก

Symmetrical Triangle
Symmetrical Triangle เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มไม่ชัดเจน

Symmetrical Triangle:

เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มไม่ชัดเจน โดยคลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน และคลื่น B จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก

การใช้งานคลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles

ในการเทรดด้วย Triangle และ Triangles สามารถใช้การวัดเป้าหมายของคลื่นได้ โดยใช้สูตรวัดเป้าหมายของคลื่น Elliott Wave โดยอาศัยความยาวของคลื่น A เป็นฐาน ดังนี้

เป้าหมาย = ความยาวของคลื่น A * 1.618

ตัวอย่างเช่น หากคลื่น A ของคลื่นรูปแบบ Triangle มีความยาว 100 จุด เป้าหมายของคลื่นรูปแบบ Triangle จะอยู่ที่ 161.8 จุด

อย่างไรก็ตาม การวัดเป้าหมายของคลื่นรูปแบบ Triangle เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น นักลงทุนควรใช้เครื่องมืออื่น ๆ ร่วมกับการวัดเป้าหมายของคลื่นรูปแบบ Triangle เพื่อประกอบการตัดสินใจ

ทฤษฎี Elliott Wave คือ อะไร
ทฤษฎี Elliott Wave เป็นการเปรียบเทียบของราคาที่วิ่งเป็นคลื่นอย่างมีนัยสำคัญ

ทีมงาน Forexthai.in.th

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments