Forexthai.in.th ย่อให้
- Bull Market และ Bear Market เป็นสภาวะสำคัญในตลาด Forex
- Bull Market คือตลาดขาขึ้น กราฟราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วน Bear Market คือตลาดขาลง ที่กราฟราคาจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
- รูปแบบของ Bull และ Bear Market มี 3 แบบหลัก ๆ คือ แบบค่อยเป็นค่อยไป, แบบรุนแรง และแบบแกว่งตัวมีทิศทาง
- เทคนิคการเทรดใน Bull Market คือเน้นเปิด Buy Order ส่วน Bear Market เน้นเปิด Sell Order โดยใช้ Indicator เช่น RSI, MACD ช่วยในการตัดสินใจ
ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเคยได้ยินคำสองคำนี้หรือไม่ แต่ผมบอกเลยครับว่าทั้งสองคำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดการเทรด Forex เป็นอย่างมาก เพราะว่าหากคุณนั้นเข้าใจสองสภาวะตลาดนี้แล้ว เป็นเรื่องง่ายมากถึงมากที่สุด ที่คุณนั้นจะสามารถทำเงินได้จากการเทรด forex ดังนั้นใครที่ยังไม่รู้ความหมายของสองคำนี้ ก็มาดูความหมายไปพร้อมๆกันครับ
Bull Market คืออะไร
Bull Market คือ สภาวะตลาดที่เป็นแบบกระทิง หรือก็คือ ตลาดที่มีเส้นเทรนไลน์ (Up trend) แบบชันขึ้นมากกว่า 45 องศา หากเส้นมีความชันแบบนี้ถือว่าเป็น Bull Market โดยปกติมักเอา TF แบบ 1H ขึ้นไปมาเป็นตัวกำหนด แต่หากใช้เส้นต่ำกว่านี้ จะยังไม่สามารถบอกว่าเป็น Bull Market ได้แน่นอน 100%
Bear Market คืออะไร
Bear Market คือ สภาวะตลาดที่เป็นแบบหมี หรือก็คือ ตลาดที่มีเส้นเทรนไลน์ (Down trend) แบบชันลงมากกว่า 45 องศา หากเส้นมีความชันแบบนี้ถือว่าเป็น Bear Market โดยปกติมักเอา TF แบบ 1H ขึ้นไปมาเป็นตัวกำหนด แต่หากใช้เส้นต่ำกว่านี้ จะยังไม่สามารถบอกว่าเป็น Bear Market ได้แน่นอน 100%

ที่มาของคำว่า “กระทิง” และ “หมี”
“กระทิง” หรือ “Bull” ในภาษาอังกฤษ ใช้เรียก “ตลาดขาขึ้น” โดยราคาจะมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน คำนี้มีที่มาจากลักษณะการต่อสู้ของ “กระทิงที่ใช้เขาขวิดขึ้น” เสมือนกราฟที่พุ่งทะยานขึ้น
ในทางตรงกันข้าม “หมี” หรือ “Bear” ใช้เรียก “ตลาดขาลง” โดยราคาจะมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน คำนี้มีประวัติย้อนไปถึงศตวรรษที่ 18 จากสุภาษิตที่ว่า “อย่าขายหนังหมีก่อนจับหมีได้” จึงถูกนำมาใช้ในวลีในการ “ขาย” ล่วงหน้าในตลาด นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบกับลักษณะ “การตะปบลงของหมี” ที่คล้ายกับกราฟราคาที่ดิ่งลง
ระวังโดน กระทิงขวิด หรือ หมีตบ
เทคนิคการเทรด forex ในตลาด Bull Market
กลยุทธ์ง่ายๆในการทำกำไรกับ ตลาดกระทิงคือ ให้เราใช้การเปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order) เท่านั้น โดยรอดูจุดที่ค่า RSI ต่ำกว่า 30 และทำสัญญาณกลับตัวขึ้น หรืออาจเลือกดูที่ค่า MACD เพื่อดูเรื่องของการกลับตัวในทิศทางขาขึ้นของกราฟก็ได้ครับ และ ห้ามแทงสวน หรือเทรดสวนตลาดขาขึ้นหรือตลาดกระทิงโดยเด็ดขาด เจ็บกันมาเยอะแล้ว!
เทคนิคการเทรด forex ในตลาด Bear Market
สำหรับกลยุทธ์ในการเทรด forex เพื่อทำกำไรในตลาดขาลง หรือ Bear Market เราจะใช้คำสั่งขาย (Sell Order) เท่านั้น โดยสำรวจค่า RSI ถ้ามากกว่า 80 และทำสัญญากลับตัวขาลง เพียงเท่านี้ก็พอครับ และเหมือนเช่นเดิมคือ อย่าเปิดแทงสวนเทรนด์โดยเด็ดขาด เพราะการทำแบบนี้มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดการล้างพอร์ตครับ ตรงนี้ความรู้เรื่องเทรนจะสามารถช่วยในการเทรดได้มากทีเดียว
เห็นไหมครับว่า ถ้าคุณเจอสภาวะตลาดของ 2 อย่างข้างต้นที่ได้กล่าวไปนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่โชคดีมากๆ เพราะว่าคุณสามารถที่จะทำกำไรได้อย่างรวดเร็วและง่ายๆมากๆ โดยการใช้อินดี้แค่ 2 ตัวได้แก่ MACD กับ RSI เท่านั้น ดังนั้นถ้าเจอสภาวะตลาดแบบนี้แล้ว ก็โปรดอย่าลืมเทรดทำกำไรกันเยอะๆครับ
รูปแบบของ Bull และ Bear Market
รูปแบบของตลาดหมีและตลาดกระทิง เป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน เพียงแค่ทิศทางการเคลื่อนไหวตรงกันข้ามเท่านั้น โดยในวันนี้ผมจะกล่าวถึง 3 รูปแบบ ที่พบได้บ่อยที่สุดในตลาด Forex โดยมีรูปประกอบดังต่อไปนี้
1. รูปแบบการเคลื่อนไหวค่อยเป็นค่อยไป
รูปแบบการเคลื่อนไหวค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้เกิดกราฟขาลงชัดเจน ไม่มีแท่งยาว ๆ แต่ว่าก็จะค่อย ๆ ลงสลับขึ้นตลอดไม่หวือหวา มีทิศทางแน่นอนในกราฟแท่งเล็ก ขณะที่รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่เทรดยากที่สุด เพราะหลายคนคาดหวังกราฟกลับตัว อย่างไรก็ตาม มันก็อาจจะนานหรือไม่นานก็ได้ เราจึงไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นนานเท่าไหร่

2. รูปแบบเคลื่อนไหวรุนแรง
รูปแบบเคลื่อนไหวรุนแรง จะเกิดการเคลื่อนไหวรุนแรง ความชันสูง ดังรูปในวงกลม แต่ว่าระยะเวลาอาจจะเกิดสั้น ๆ เพียงช่วงเวลาหนึ่งของ Time Frame เป็นรูปแบบที่เทรดตามน้ำง่ายที่สุดเช่นกัน

3. รูปแบบแกว่งตัวมีทิศทาง
รูปแบบการแกว่งตัวมีทิศทาง คือ การผสมกันของรูปแบบ 2 รูปแบบก่อนหน้า ทำให้มัน “แกว่งตัวกว้างมากแต่ก็มีทิศทาง” ซึ่งคล้าย ๆ กับ sideway up หรือ sideway down

ระบบเทรด RSI + SMA + MACD ปี 2023
ระบบเทรดที่ใช้ Indicator 3 ตัว ได้แก่ RSI, SMA, MACD ร่วมกัน เป็นระบบเทรดใหม่ที่คิดค้นเมื่อปี 2023 ซึ่งการนำ indicator แต่ละตัวมารวมกันนั้นถือว่าเป็นการปิดจุดอ่อนของกันและกันได้อย่างดีในระดับหนึ่งเลยครับ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วมันจะทำงานร่วมกันประมาณนี้ครับ
- RSI จัดว่าเป็น Indicator ชั้นนำในประเภท Oscillator ซึ่งหมายความว่า RSI จะแสดงการเปลี่ยนแปลงราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเราจะตั้งค่า default นั่นคือ period = 14 และใช้เพียงเส้น 50 เท่านั้น
- SMA คือ indicator ที่เป็น Lagging และ Trend-Following ซึ่งเราจะปล่อยให้ RSI ได้แสดงจุดกลับตัวในขณะที่เราจะใช้ SMA เพื่อยืนยันความเป็นเทรนด์ของกราฟ
- MACD เป็น indicator ที่เราจะใช้เพื่อแสดงความแข็งแรงของเทรนด์ และทิศทางของเทรนด์นั้น ๆ ซึ่งวิธีนี้จะใช้เพื่อยืนยันสัญญาณจาก RSI และ SMA อีกชั้นนึงครับ
วิธีการตั้งค่า Indicator
- RSI period = 14
- SMA period = 14 และ MA method = Simple
- MACD = default
เงื่อนไขการเข้า Buy
- RSI วิ่งตัดเส้น 50 ขึ้นไป
- แท่งเทียนวิ่งตัดเส้น SMA ขึ้นไป
- MACD เส้นล่างวิ่งมาตัดเส้นบนขึ้นไป
เงื่อนไขการเข้า Sell
- RSI วิ่งตัดเส้น 50 ลงมา
- แท่งเทียนวิ่งตัดเส้น SMA ลงมา
- MACD เส้นบนวิ่งตัดเส้นล่างลงมา
สรุป
Bull market คือ ตลาดที่เป็นเทรนด์ขาขึ้น ในขณะที่ Bear market คือ ตลาดในเทรนด์ขาลงนั่นเองครับ ซึ่งในตลาดแต่ละฝั่งก็จะมีวิธีเทรดทำกำไรหลากหลายรูปแบบ โดยสิ่งที่ไม่ควรทำคือการเทรดส่วนเทรนด์นั้นเอง ดังนั้นเราจึงแนะนำให้เทรดตามเทรนโดยการใช้ Indicator MACD, RSI, และ MA ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถใช้ Indicator ตัวอื่นได้นะครับ เพราะมันไม่ได้มีจำกัดเพียงเท่านี้
ทีมงาน: forexthai.in.th