เอาละ… มาถึงบทส่งท้ายของบทเรียนกันแล้ว จากที่เรียนรู้กันมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ล้วนแต่มีความหมาย มีความจำเป็นต่อการใช้งานในการเทรด Forex อย่างยิ่ง ใครที่เรียนรู้แล้วนำมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม การก้าวไปสู่สุดยอดของ Top Trader ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

สิ่งที่อยากจะเสนอในบทส่งท้ายนี้คือเคล็ดลับวิชาอันสุดยอด เป็นวิชาเพิ่ม Skill ขั้นเทพ เพื่อที่จะเอาชนะเกมเศรษฐีที่ชื่อว่า Forex ไปอัพสกิลกันเลยดีกว่า

Skill สำคัญเพื่อการเป็น Top Trader

การใช้ Leverage และ Margin อย่างถูกต้อง

อย่างแรกเลยคือต้องทำความเข้าใจกับ Leverage และ Margin ในการ Forex ให้เหมือนกับมือโปรกันก่อน เพราะโดยทั่วไปแล้วนักเทรดมือใหม่มักจะมองข้าม มักจะมองว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ ของ Forex

แต่จริง ๆ แล้ว Leverage และ Margin ทั้งสองสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของการเทรด Forex เลยก็ว่าได้ เพราะนักเทรดมืออาชีพทั้งหลายจะให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้มาก

Leverage
Leverage คือสิ่งที่โบรกเกอร์ Forex เสนอให้ โดยใช้เงินทุนเพียงจำนวนน้อย เพื่อเปิดคำสั่งที่ใหญ่ขึ้นได้

Leverage คืออะไร?

Leverage เปรียบเสมือน “เงินกู้” ที่โบรกเกอร์ Forex เสนอให้เรา โดยเทรดเดอร์ใช้เงินทุนเพียงจำนวนน้อย เพื่อเปิดคำสั่งซื้อขายมูลค่าที่ใหญ่ขึ้นได้

ตัวอย่างเช่น:

  • สมมติว่าคุณมีเงินทุน 1,000 บาท ต้องการซื้อ EUR/USD มูลค่า 100,000 ยูโร
  • ปกติแล้ว คุณต้องใช้เงินทั้งหมด 100,000 บาท แต่โบรกเกอร์เสนอ Leverage 1:100 ให้
  • แปลว่า คุณใช้เงินทุนเพียง 1,000 บาท ก็จะสามารถเปิดคำสั่งซื้อขาย EUR/USD 100,000 ยูโร ได้นั่นเอง

ข้อดีของ Leverage:

  • เพิ่มโอกาสในการทำกำไร: เงินทุนน้อย แต่สามารถควบคุมมูลค่าคำสั่งซื้อขายที่ใหญ่ขึ้น
  • เพิ่มสภาพคล่อง: เทรดเดอร์สามารถกระจายเงินทุนไปยังหลายคำสั่งซื้อขายได้

ข้อเสียของ Leverage:

  • เพิ่มความเสี่ยง: เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปทางตรงกันข้ามกับคำสั่ง เทรดเดอร์อาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว
  • เพิ่มค่าธรรมเนียม: โบรกเกอร์มักคิดค่าธรรมเนียม Swap เพิ่มเติมสำหรับการใช้ Leverage
Margin
Margin คือ “เงินมัดจำ” ที่เทรดเดอร์ต้องวางไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อรับประกันการชำระหนี้

Margin คืออะไร?

Margin เปรียบเสมือน “เงินมัดจำ” ที่เทรดเดอร์ต้องวางไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อรับประกันการชำระหนี้สำหรับคำสั่งซื้อขายที่เปิดอยู่

สูตรการคำนวณ Margin:

Margin    =    (Leverage x ต้นทุนต่อหน่วย) / 100

ตัวอย่าง:

  • สมมติว่าคุณมีเงินทุน 1,000 บาท ต้องการซื้อ EUR/USD มูลค่า 100,000 ยูโร โบรกเกอร์เสนอ Leverage 1:100
  • ต้นทุนต่อหน่วย EUR/USD อยู่ที่ 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ
  • การคำนวณ Margin:

Margin = (100 x 1.10) / 100 = 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ

  • หมายความว่า: คุณต้องวางเงินมัดจำ 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการเปิดคำสั่งซื้อขาย EUR/USD 100,000 ยูโร

ข้อควรระวัง:

  • ระดับ Margin: เปรียบเสมือน “อัตราส่วนความปลอดภัย” ของโบรกเกอร์
  • คำนวณจากสูตร: ระดับ Margin = (ทุนในบัญชี / มูลค่า Margin ทั้งหมด) x 100
  • โบรกเกอร์มีกำหนดระดับ Margin ขั้นต่ำ: หากระดับ Margin ต่ำกว่าค่าที่กำหนด โบรกเกอร์อาจ “Call to Margin” เรียกร้องให้เทรดเดอร์เพิ่มเงินมัดจำ Call to Margin อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินทุนทั้งหมดก็ได้

Leverage และ Margin เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เทรดเดอร์มือใหม่ควรศึกษาและฝึกฝนอย่างละเอียดก่อนใช้งานจริง เริ่มต้นด้วย Leverage ต่ำ ศึกษาเทคนิคการจัดการความเสี่ยง และสร้างกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม

Leverage เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเทรด Forex แต่ก็แฝงไปด้วยอันตราย

ผลกระทบด้านลบของ Leverage

Leverage เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเทรด Forex ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้เงินทุนน้อย เปิดคำสั่งซื้อขายมูลค่าที่ใหญ่ขึ้นได้ แต่ก็แฝงไปด้วยอันตราย ผลกระทบด้านลบของ Leverage ใน Forex มีดังนี้

เพิ่มความเสี่ยง:

เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปทางตรงกันข้ามกับคำสั่ง เทรดเดอร์อาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่าง:

  • สมมติว่าคุณมีเงินทุน 1,000 บาท เทรด EUR/USD ซื้อที่ 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้ Leverage 1:100
  • ตลาด EUR/USD ดิ่งลง 1% เหลือ 1.09 ดอลลาร์สหรัฐ
  • คุณสูญเสีย 1% ของมูลค่าคำสั่งซื้อขาย 100,000 ยูโร เท่ากับ 1,000 ยูโร
  • เนื่องจากใช้ Leverage สูง เงินทุน 1,000 บาท ของคุณจึงสูญเสียทั้งหมด

เพิ่มค่าธรรมเนียม:

โบรกเกอร์มักจะคิดค่าธรรมเนียม Swap เพิ่มเติม สำหรับการใช้ Leverage เป็นการคิดแบบรายวันสำหรับการถือครองคำสั่งซื้อขายค้างคืน

สร้างความกดดัน:

เทรดเดอร์อาจตัดสินใจผิดพลาดภายใต้แรงกดดันจากการสูญเสีย ยิ่งการสูญเสียอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตได้

ชะลอการเรียนรู้:

เทรดเดอร์อาจละเลยการศึกษาพื้นฐาน มุ่งเน้นไปที่การใช้ Leverage เพื่อหวังผลลัพธ์ระยะสั้น จนส่งผลเสียต่อการพัฒนาทักษะการเทรดในระยะยาว

อันตรายแฝง:

เทรดเดอร์มือใหม่มักชอบใช้ Leverage สูง เช่น 1:1000 เพราะหวังผลกำไรมหาศาล แต่ตลาดเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็สูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้ หากใช้เปิดคำสั่งซื้อขายหลายคู่สกุลเงินพร้อมกัน ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น

คำแนะนำ:

  • ศึกษาและทำความเข้าใจ Leverage อย่างละเอียดก่อนใช้งาน
  • เริ่มต้นด้วย Leverage ต่ำ เช่น 1:10 หรือ 1:25
  • เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเสี่ยง เช่น Stop Loss
  • สร้างกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้
  • ควบคุมอารมณ์ ฝึกวินัยในการเทรด

Leverage เป็นเพียงเครื่องมือ เทรดเดอร์ต้องมีความรู้ ทักษะ และกลยุทธ์ที่ดี จึงจะประสบความสำเร็จในการเทรด Forex ด้วยการใช้ Leverage ได้

Position Size
ขนาดออเดอร์ หรือ “Position Size” มีบทบาทสำคัญต่อการเทรด Forex ที่มีทั้งด้านบวกและลบ

ความสำคัญของขนาดออเดอร์

ขนาดออเดอร์ หรือ “Position Size” มีบทบาทสำคัญต่อการเทรด Forex เปรียบเสมือน “ดาบสองคม” ที่ส่งผลต่อทั้ง โอกาสในการทำกำไร และ ความเสี่ยง ดังนี้

ด้านบวก:

  • เพิ่มโอกาสในการทำกำไร: ขนาดออเดอร์ใหญ่ หมายถึงผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นสูง เหมาะกับกลยุทธ์การเทรดแบบเทรนด์
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน: ขนาดออเดอร์ใหญ่ ช่วยให้ใช้เงินทุนน้อยควบคุมหลายคำสั่งซื้อขาย เหมาะกับกลยุทธ์การเทรดแบบกระจายความเสี่ยง

ด้านลบ:

  • เพิ่มความเสี่ยง: ขนาดออเดอร์ใหญ่ หมายถึงการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นสูง เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ เข้าใจการจัดการความเสี่ยง
  • ลดสภาพคล่อง: ขนาดออเดอร์ใหญ่ ส่งผลต่อสภาพคล่องของบัญชี อาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเทรด

ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดออเดอร์:

  • กลยุทธ์การเทรด: กลยุทธ์แบบเทรนด์ vs เทรดระยะสั้น
  • ระดับความเสี่ยง: เทรดเดอร์รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
  • เงินทุน: จำนวนเงินทุนที่มี
  • สภาพคล่องของตลาด: ความผันผวนของราคา
“Position Sizing” เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ Forex ทุกคนควรให้ความสำคัญ

การคำนวณขนาดของออเดอร์

การคำนวณขนาดออเดอร์ หรือ “Position Sizing” เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ Forex ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะส่งผลต่อทั้ง โอกาสในการทำกำไร และ ความเสี่ยง มีวิธีการคำนวณขนาดของออร์เดอร์ ดังนี้

กำหนดระดับความเสี่ยง:

  • เทรดเดอร์แต่ละคนมีความเสี่ยงที่รับได้แตกต่างกัน
  • กำหนดเปอร์เซ็นต์เงินทุนสูงสุดที่ยอมสูญเสียต่อคำสั่งซื้อขาย

คำนวณ Stop Loss:

  • Stop Loss เป็นจุดตัดสินใจขายเพื่อจำกัดการสูญเสีย
  • กำหนดจุด Stop Loss ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรด

เลือกขนาดออเดอร์:

  • สูตรพื้นฐาน: ขนาดออเดอร์  =   (ระดับความเสี่ยง x เงินทุน) / (Stop Loss x 100)

ปรับขนาดออเดอร์:

  • ปรับขนาดออเดอร์ให้เหมาะสมกับสภาพคล่องของตลาด
  • พิจารณาจำนวนคำสั่งซื้อขายที่เปิดพร้อมกัน

ตัวอย่าง:

เทรดเดอร์ A:

  • เงินทุน: 10,000 บาท
  • ระดับความเสี่ยง: 1%
  • Stop Loss: 100 pips
  • การคำนวณ:

ขนาดออเดอร์ = (1 x 10,000) / (100 x 100) = 0.1 lot

เทรดเดอร์ B:

  • เงินทุน: 50,000 บาท
  • ระดับความเสี่ยง: 0.5%
  • Stop Loss: 50 pips
  • การคำนวณ:

ขนาดออเดอร์ = (0.5 x 50,000) / (50 x 100) = 0.5 lot

Stop Loss คือคำสั่งปิดออเดอร์ที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อจำกัดการสูญเสียในการเทรด

Stop Loss คืออะไร?

Stop Loss คือคำสั่งขายล่วงหน้า หรือคำสั่งปิดออเดอร์ที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อจำกัดการสูญเสียในการเทรด ระบบจะปิดคำสั่งซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาผิดทาง ประเภทของ Stop Loss มีดังนี้

Equity Stop:

ตั้งค่า Stop Loss โดยคำนวณจากจำนวนเงินทุนทั้งหมดในบัญชี ซึ่ง Equity Stop เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงโดยรวม

สูตรคำนวณ:

Equity Stop    =    (เงินทุน x ระดับความเสี่ยง) / (Pip Size x 100)

ตัวอย่าง:

  • เงินทุน: 10,000 บาท
  • ระดับความเสี่ยง: 1%
  • Pip Size: 0.01

การคำนวณ: Equity Stop = (10,000 x 1) / (0.01 x 100) = 100 pips

Volatility Stop:

ตั้งค่า Stop Loss โดยคำนวณจากความผันผวนของราคาในช่วงเวลาที่ผ่านมา Volatility Stop เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงตามสภาวะตลาด

วิธีการ:

  • วาดเส้น ATR (Average True Range) บนกราฟ
  • ตั้งค่า Stop Loss ที่ระดับ ATR เหนือราคาซื้อ (สำหรับคำสั่งซื้อ) หรือต่ำกว่าราคาขาย (สำหรับคำสั่งขาย)

Chart Stop:

ตั้งค่า Stop Loss โดยพิจารณาจากจุดสำคัญบนกราฟ เช่น แนวรับ แนวต้าน เส้นแนวโน้ม Chart Stop เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค

วิธีการ:

  • ระบุจุดสำคัญบนกราฟ
  • ตั้งค่า Stop Loss เหนือจุดสำคัญ (สำหรับคำสั่งซื้อ) หรือต่ำกว่าจุดสำคัญ (สำหรับคำสั่งขาย)

Time Stop:

ตั้งค่า Stop Loss โดยกำหนดระยะเวลาที่คำสั่งซื้อขายจะเปิดอยู่ Time Stop เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการจำกัดระยะเวลาการถือครอง

วิธีการ:

  • กำหนดระยะเวลา (เช่น 1 ชั่วโมง, 1 วัน)
  • ตั้งค่า Stop Loss ให้ปิดคำสั่งซื้อขายเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด

คำแนะนำ:

  • เลือกประเภท Stop Loss ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรด
  • ปรับระดับ Stop Loss ตามสถานการณ์ตลาด
  • พิจารณาใช้ Stop Loss ร่วมกับ Take Profit
  • ฝึกวินัยในการเทรด ควบคุมอารมณ์
ประเภทของ Stop Loss มีหลายแบบ ควรเลือกประเภทที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของตัวเอง

ข้อผิดพลาดในการใช้ Stop Loss ที่พบบ่อย

Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการเทรด Forex ช่วยให้เทรดเดอร์ควบคุมความเสี่ยง แต่ก็มักเกิดข้อผิดพลาดในการใช้งาน ดังนี้

1. ตั้ง Stop Loss แคบเกินไป:

การตั้งแคบเกินไป เมื่อราคาตลาดผันผวนอาจโดน Stop Loss ก่อนเวลาอันควร โดนปิดคำสั่งซื้อขายก่อนที่จะบรรลุเป้าหมาย

2. ตั้ง Stop Loss กว้างเกินไป:

ตั้งเอาไว้กว้างเกินไปก็อาจจะเสียโอกาสในการทำกำไร กลายเป็นเพิ่มความเสี่ยงแทนได้

3. วาง Stop Loss ที่จุดสำคัญ:

ราคาตลาดมักจะกลับตัวที่จุดสำคัญ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการวาง Stop Loss บนจุดสำคัญ

4. ไม่ปรับ Stop Loss ตามสถานการณ์:

เมื่อราคาตลาดวิ่งไปในทางที่ต้องการ ควรปรับ Stop Loss เพื่อล็อคกำไร เมื่อราคาตลาดวิ่งไปทางตรงกันข้าม ควรปรับ Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง

5. ละเลยการใช้ Stop Loss:

เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนทั้งหมดมากหากละเลย เพราะ Stop Loss ช่วยจำกัดการสูญเสียได้

6. ใช้ Stop Loss กับทุกคำสั่งซื้อขาย:

ไม่จำเป็นต้องใช้ Stop Loss กับทุกคำสั่งซื้อขาย ควรพิจารณาตามสภาวะตลาด

7. ควบคุมอารมณ์ไม่ได้:

อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ บ่อยครั้งจึงทำผิดด้วยการปิด Stop Loss ก่อนเวลาอันควร

8. ขาดความรู้ความเข้าใจ:

ควรศึกษาประเภทของ Stop Loss ให้เข้าใจ แล้วเลือกวิธีการใช้งานที่เหมาะสม

9. ไม่ทดสอบกลยุทธ์:

ควรทดสอบกลยุทธ์การเทรดกับการใช้ Stop Loss แล้วปรับแต่งให้เหมาะสม

10. ละเลยการบริหารความเสี่ยง:

ควรใช้ Stop Loss ควบคู่กับเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง เป็นการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ควรจำเอาไว้ว่า Stop Loss เป็นเครื่องมือช่วยควบคุมความเสี่ยงที่ดี เทรดเดอร์ควรเรียนรู้และนำไปใช้กับกลยุทธ์ที่ดี ผสมผสานกับวินัยในการเทรด จึงจะไม่เกิดข้อผิดพลาดในการใช้ Stop Loss

Stop Loss
Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการเทรด Forex ที่ใช้ควบคุมความเสี่ยง

เทคนิคการใช้ Stop Loss ให้มีประสิทธิภาพ

Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการเทรด Forex ที่ใช้ควบคุมความเสี่ยง เมื่อราคาตลาดวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับคำสั่งซื้อขาย เทคนิคการ Stop Loss อย่างมีประสิทธิภาพ ทำได้ดังนี้

  • กำหนดระดับความเสี่ยง:

ให้ทำการประเมินความเสี่ยงที่รับได้ แล้วกำหนดเปอร์เซ็นต์เงินทุนสูงสุดที่ยอมสูญเสียต่อคำสั่งซื้อขายนั้น ๆ

  • เลือกประเภท Stop Loss ที่เหมาะสม:
    • Equity Stop: ควบคุมความเสี่ยงโดยรวม
    • Volatility Stop: ปรับตามความผันผวนของราคา
    • Chart Stop: พิจารณาจากจุดสำคัญบนกราฟ
    • Time Stop: จำกัดระยะเวลาการถือครอง
  • ปรับระดับ Stop Loss ตามสถานการณ์:

ปรับ Stop Loss ตามเมื่อราคาวิ่งไปในทางที่ต้องการ ปรับ Stop Loss ให้สั้นลงเมื่อราคามีแนวโน้มตรงกันข้ามชัดเจนขึ้น

  • ใช้ Stop Loss ร่วมกับ Take Profit:

กำหนดจุด Take Profit เพื่อล็อคกำไร กำหนดจุดสมดุลระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทน

  • ฝึกวินัย:

ปล่อย Stop Loss ให้เป็นไปตามที่ตั้งไว้ หลีกเลี่ยงการแก้ไข Stop Loss โดยควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้

  • ทดสอบกลยุทธ์:

ทดสอบ Stop Loss กับกลยุทธ์การเทรด ปรับแต่ง Stop Loss ให้เหมาะสม

  • เรียนรู้จากประสบการณ์:

วิเคราะห์สาเหตุของการสูญเสีย ปรับปรุงกลยุทธ์การใช้ Stop Loss ให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่าง:

  • เทรดเดอร์ A: ตั้ง Stop Loss 100 pips
  • เทรดเดอร์ B: ตั้ง Stop Loss 200 pips

ผลที่เกิดขึ้น:

เทรดเดอร์ A:

  • เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนน้อยกว่า
  • แต่อาจมีโอกาสโดนปิดคำสั่งซื้อขายก่อนเวลาอันควร

เทรดเดอร์ B:

  • เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนมากกว่า
  • แต่มีโอกาสทำกำไรมากกว่า

การตัดขาดทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น กลยุทธ์การเทรด ระดับความเสี่ยง สภาวะตลาด เทรดเดอร์ต้องเลือกวิธีการใช้งาน Stop Loss ที่เหมาะสม ผสมผสานกับวินัยในการเทรด ควบคุมอารมณ์ และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

Skill สำคัญเพื่อการเป็น Top Trader
Skill สำคัญเพื่อการเป็น Top Trader นั้น เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการจัดการอย่างยิ่ง

บทสรุป:

Skill สำคัญเพื่อการเป็น Top Trader นั้น เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญกับการจัดการในเรื่องต่อไปนี้

  • Leverage และ Margin: เป็นเครื่องมือช่วยเทรดที่สำคัญ แต่มีความเสี่ยงสูง
  • ขนาดออเดอร์: ส่งผลต่อโอกาสในการทำกำไรและความเสี่ยง
  • Stop Loss: เป็นเครื่องมือจำกัดการสูญเสียที่ดี

Leverage และ Margin:

  • Leverage: คือเงินกู้จากโบรกเกอร์ที่ช่วยให้ใช้เงินทุนน้อยแต่เทรดด้วยมูลค่าที่สูงขึ้นได้
  • Margin: คือเงินมัดจำที่วางกับโบรกเกอร์เพื่อรับประกันคำสั่งซื้อขาย
  • ความเสี่ยง: อาจจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด
  • ข้อควรระวัง: เมื่อระดับ Margin ต่ำกว่าค่าที่กำหนด โบรกเกอร์อาจ “Call to Margin”
  • คำแนะนำ: ศึกษาและฝึกฝนก่อนใช้งานจริง เริ่มต้นด้วย Leverage ต่ำ ศึกษาเทคนิคการจัดการความเสี่ยง

ขนาดออเดอร์:

  • ส่งผลต่อโอกาสในการทำกำไรและความเสี่ยง
  • ด้านบวก: เพิ่มโอกาสในการทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน
  • ด้านลบ: เพิ่มความเสี่ยง ลดสภาพคล่อง
  • ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดออเดอร์: กลยุทธ์ ระดับความเสี่ยง เงินทุน สภาพคล่อง
  • สูตรคำนวณขนาดออเดอร์: (ระดับความเสี่ยง x เงินทุน) / (Stop Loss x 100)

Stop Loss:

  • เครื่องมือขายล่วงหน้า จำกัดการสูญเสีย
  • ประเภท Stop Loss:
    • Equity Stop: ควบคุมความเสี่ยงโดยรวม
    • Volatility Stop: ปรับตามความผันผวน
    • Chart Stop: พิจารณาจากจุดสำคัญบนกราฟ
    • Time Stop: จำกัดระยะเวลา
  • คำแนะนำ: เลือกประเภท Stop Loss ปรับระดับ Stop Loss ฝึกวินัย
  • ข้อผิดพลาด: ตั้ง Stop Loss แคบ/กว้างเกินไป วาง Stop Loss บนจุดสำคัญ ไม่ปรับ Stop Loss ละเลย Stop Loss ใช้ Stop Loss กับทุกคำสั่ง ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ขาดความรู้ ไม่ทดสอบกลยุทธ์ ละเลยการบริหารความเสี่ยง

เทคนิคการใช้ Stop Loss:

  • กำหนดระดับความเสี่ยง
  • เลือกประเภท Stop Loss
  • ปรับระดับ Stop Loss ตามสถานการณ์
  • ใช้ Stop Loss ร่วมกับ Take Profit
  • ฝึกวินัย
  • ทดสอบกลยุทธ์
  • เรียนรู้จากประสบการณ์

ตัวอย่าง:

  • เทรดเดอร์ A: ตั้ง Stop Loss 100 pips เสี่ยงน้อย โดนปิดคำสั่งเร็ว
  • เทรดเดอร์ B: ตั้ง Stop Loss 200 pips เสี่ยงมาก โอกาสทำกำไรสูง

ข้อสรุป:

  • Leverage, ขนาดออเดอร์ และ Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญ
  • เทรดเดอร์ต้องศึกษา วิเคราะห์ และปรับใช้ให้เหมาะสม
  • ผสมผสานกับวินัย ควบคุมอารมณ์ และบริหารความเสี่ยง

Leverage, ขนาดออเดอร์ และ Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการเทรด Forex แต่ละตัวมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เทรดเดอร์ควรศึกษาและใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างชาญฉลาด ควบคู่กับวินัยในการเทรด ควบคุมอารมณ์ และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

ทีมงาน: forexthai.in.th

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments