Forexthai.in.th ย่อให้
- Trend Line คือเส้นที่ลากเชื่อมจุด Swing High/Low เพื่อดูแนวโน้มของราคา โดยทำหน้าที่เป็นแนวรับ/แนวต้าน และช่วยหาจังหวะเข้าเทรด
- ประเภทของเทรนไลน์ มี 3 แบบ คือ ขาขึ้น (Uptrend), ขาลง (Downtrend), และออกข้าง (Sideways) โดยแต่ละแบบมีลักษณะและสัญญาณที่แตกต่างกัน
- สิ่งสำคัญในการใช้เทรนไลน์ คือต้องลากผ่านจุด Swing อย่างน้อย 2 จุด, ความชันของเส้น บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของ Trend
- ตัวอย่างการใช้ Trend Line แสดงให้เห็นถึงการเทรดตามแนวโน้มขาขึ้นและขาลง พร้อมทั้งสัญญาณเตือนเมื่อราคาหลุด Trend Line
เทรดเดอร์ Forex หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่เมื่อเริ่มเข้ามาสู่วงการเทรด Forex สิ่งแรกๆ ที่ต้องเจอเมื่อต้องการที่จะวิเคราะห์แนวโน้มราคาก็น่าจะใช้ Trend Line แน่นอน เพราะมันเป็นเทคนิคเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดที่เราจะรู้ว่าตอนนี้ แนวโน้มราคาเป็นยังไงแถมยังทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งวันนี้เราจะไปรู้จักกับเทรนไลน์กันให้มากขึ้น
สารบัญบทความ click เพื่อเลือกอ่าน !!
Trend Line คืออะไร?
- Trend Line ก็คือ เส้นที่ลากจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง เพื่อดูว่ากราฟราคากำลังอยู่ในแนวโน้มทิศทางไหน ซึ่งจุดนั้นต้องเป็นจุดที่มีนัยยะสำคัญอะไรบางอย่างของราคา
- จุดนัยยะสำคัญของราคาก็อย่างเช่น จุดสูงสุด/ต่ำสุด ก่อนหน้า (Previous High/Low), แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนี้
- ถ้าถามว่า Trend Line มันกำลังบอกอะไรแก่เรา?
- Trend Line กำลังบอกแนวโน้มของราคาว่ามันเป็น Trend “ขึ้น” หรือ “ลง” หรือ ”Sideway”
- Trend Line ทำหน้าที่เป็น “แนวรับ” ในขาขึ้นและ “แนวต้าน” ในขาลง
- Trend Line ใช้เป็นจุดในการเข้าเทรดได้ หากเราสังเกตปฏิกิริยาของราคาที่ชนเข้ากันเส้นเทรนไลน์ เราจะรู้ได้ว่าควรออกออเดอร์ Buy/Sell
ประเภทของ Trend Line
Trend Line มีทั้งอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับกราฟราคา Forex ที่เกิดขึ้นมาตลอดเวลา ดังนี้
1. Trend Line ขาขึ้น (Uptrend)
- ลักษณะคือเส้นที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุด (Swing Low) ของราคาก่อนหน้า 2 จุดขึ้นไป โดยมีความชันขึ้นไปทางขวา
- เส้นนี้บ่งบอกว่าราคามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยสังเกตจากราคามักจะทำ New High หรือจุดสูงสุดใหม่อยู่เรื่อยๆ รวมถึง จุดต่ำสุดใหม่ (New Low) ก็จะสูงกว่าจุดต่ำสุดเดิมด้วย
- Trend นี้ เทรดเดอร์มักจะเข้าออเดอร์เมื่อกราฟราคาย่อตัวลงมา(แบบยังไม่ผ่าน Low เดิม) ชนเส้น Trend Line จากนั้นราคาก็จะพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดอีกครั้ง
- สัญญาณเตือนของ Trend นี้คือหากราคาหลุด Trend Line ลงมา อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าขาขึ้นกำลังอ่อนแรงหรือจบลงแล้ว
2. Trend Line ขาลง (Downtrend)
- ลักษณะคือเส้นที่ลากเชื่อมจุดสูงสุด (Swing High) ของราคาอย่างน้อย 2 จุด โดยมีความชันลงไปทางขวา
- เส้นนี้บ่งบอกว่าราคามีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เราสามารถดูได้จากจุดสูงสุดใหม่จะอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม ซึ่งจุดนี้ทำหน้าที่เป็นแนวต้านด้วย
- เมื่อราคาชนเส้น Trend Line เทรดเดอร์มักจะเข้าออเดอร์ Sell เพราะรู้ว่าแนวโน้มกำลังเป็นขาลงราคามักจะชนแล้วเด้งกลับลงต่อ
- แต่หากราคาทะลุ Trend Line ขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณเตือนเช่นกันว่าขาลงกำลังอ่อนแรงหรือจบลง เหมือนกับ Trend Line ขาขึ้น
3. Trend Line แนวขวาง (Sideways)
- ลักษณะที่ 3 นี้จะเป็นเส้นที่ลากเชื่อมจุดเหมือน 2 เส้นที่ผ่านมา แต่ราคากลับไม่แสดงจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ แต่ราคากลับขนานอยู่ในกรอบแนวรับ-แนวต้านเดิม
- เส้นนี้กำลังบ่งบอกว่าราคายังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและเทรดเดอร์บางคนก็อาจจะยังไม่เทรดในช่วงนี้หรือบางคนอาจเทรดสั้นๆ ในกรอบแนวรับแนวต้านของราคา
- เมื่อราคาหลุดจาก Trend นี้ไป อาจเป็นสัญญาณว่า Sideways Trend กำลังจบลงและเริ่มTrend ใหม่ว่าจะขึ้นหรือลง
สิ่งสำคัญที่ต้องจำในการใช้ Trend line ในการเทรด
- การลากเทรนไลน์ต้องใช้จุดสูงสุด (Swing High) หรือจุดต่ำสุด (Swing Low) อย่างน้อย 2 จุด ในการเชื่อมเส้น ถ้าเชื่อมได้หลายจุด เช่น 3 จุดขึ้นไปจะถือว่า เทรนไลน์นั้นแข็งแกร่งมาก
- เทรนไลน์ที่ ”ชัน” บ่งบอกถึง Trend ที่แข็งแกร่งและราคามีโมเมนตัมที่แรง กลับกัน Trend Line ที่ “ลาดเอียง” บ่งบอกถึง Trend ที่ราคามีโมเมนตัมน้อย
- การตีเส้นเทรนไลน์ อย่าลากเทรนไลน์แค่ให้ดูสวยงามหรือเข้าข้างความคิดของตัวเองต้องลากตามจุดสูงสุด/ต่ำสุดที่ชัดเจนและมีเหตุผลรองรับเสมอ
ตัวอย่างการใช้ Trend Line ในสถานการณ์จริง
เรามาดูตัวอย่างการใช้ Trend Line สำหรับกราฟจริงรวมถึงการวิเคราะห์แนวโน้มจากเส้นเทรนไลน์ ทั้งกรณีแบบขาขึ้นและขาลงกันบ้าง
การเทรดตามแนวโน้มขาขึ้น
- จุด A ราคามีการย่อตัวลงมาทดสอบ Trend Line เป็นครั้งแรกและเด้งขึ้นเป็นสัญญาณ “ซื้อ“
- จุด B ราคาย่อตัวลงมาทดสอบ Trend Line เป็นครั้งที่สองและเด้งขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณ “ซื้อ” ที่แข็งแกร่งขึ้น เพราะ Trend Line ผ่านการทดสอบมาแล้ว
- จุด C ราคาหลุด Trend Line ลงมา เป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจอ่อนแรงหรือจบลง แนะนำว่ายังไม่ควรเข้าเทรดเพราะอาจจะเป็น False Breakout
- จุด D ราคาลงต่อเนื่องหลังจากหลุด Trend Line และไม่สามารถทะลุกลับขึ้นไปได้ “ยืนยัน” ว่า Uptrend จบลงแล้ว
การเทรดตามแนวโน้มขาลง
- จุด A และ B เป็นจังหวะในการออกออเดอร์ “ขาย (Sell)” ที่ดี เพราะราคาดีดขึ้นไปชนTrend Line แล้วลงต่อ
- จุด C ราคาทะลุ Trend Line ขึ้นไป เป็นสัญญาณเตือนว่า Downtrend อาจอ่อนแรงหรือจบลง แต่ยังต้องรอยืนยันก่อน ไม่ควรออกออเดอร์ในช่วงนี้
- จุด D ราคากลับลงมาอยู่ใน Trend Line สามารถรอ Retest จนมั่นใจและ Sell ได้ ดังนั้นจุด C จึงเป็น False Breakout ซึ่งเทรดเดอร์หลายคนที่รีบออกออเดอร์ BUY จนติดดอย ณ จุดนี้
วิดีโอเกี่ยวกับเส้นเทรนไลน์
ตัวอย่างการใช้เส้น Trend Line ในการเทรด เครดิต By Tom Crown Focus นาทีที่ 0:47-7:38
ทีมงานไปเจอวิดีโอหนึ่งที่เกี่ยวกับ การใช้เส้น Trend Line สำหรับการเทรด ซึ่งยูทูปเบอร์คนนี้ได้นำเสนอที่มองเห็นภาพชัดเจนพร้อมกับยกตัวอย่างในหลายๆ รูปแบบ ทางเราเลยคิดว่าน่าสนใจและมีประโยชน์สำหรับใครหลายๆ คนครับ
- Focus นาทีที่ 0:47 วิธีการวาดเทรนไลน์ที่ถูกต้อง
- Focus นาทีที่ 2:00 เหตุผลที่ควรใช้เทรนไลน์
- Focus นาทีที่ 3:40 ตัวอย่าง Trend Line Breakout
- Focus นาทีที่ 4:50 ตัวอย่าง Fake Breakout
- Focus นาทีที่ 6:15 ตัวอย่าง Trend Continuation
- Focus นาทีที่ 7:20 ตัวอย่าง Trend Line Liquidity
สรุป
สรุปแล้ว Trend Line คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เรียบง่ายแต่ก็ทรงพลังไม่น้อย หลายคนสามารถทำกำไรได้จากการมองเห็นทิศทางของแนวโน้ม การระบุแนวรับ-แนวต้านและหาจังหวะเข้า-ออกออเดอร์ได้เพียงแค่ใช้ Trend Line แต่ก็อย่าลืมว่า Trend Line เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น เทรดเดอร์ควรใช้ร่วมกับ Indicators อื่นๆ เพื่อความแม่นยำมากขึ้น
และสุดท้ายแล้วการเริ่มฝึกฝนการใช้เทรนไลน์ตั้งแต่วันนี้จะพบว่าการวิเคราะห์อ่านทิศทางกราฟราคาและทำกำไรในตลาด Forex ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
บทความแนะนำสำหรับผู้เริ่มเทรด Forex
Nakrob Seareechon
บรรณาธิการ/Web master
ปริญญาโทเศรษฐศาสตร์การเงิน พัฒนาระบบเทรดอัตโนมัติและพัฒนาเว็บไซต์ควบคู่การเทรดด้วยตนเอง
อ่านประวัติเพิ่มเติม
Krisorn Himmapan
Content Writer
ประสบการณ์เทรด Forex 12+ ปี จากพนักงานบริษัทสู่เทรดเดอร์อาชีพ เน้นกลยุทธ์ Long-term Trading
อ่านประวัติเพิ่มเติมทีมงาน: forexthai.in.th