Forexthai.in.th ย่อให้

  • Equilibrium ในการเทรด Forex หมายถึงสภาวะสมดุลหรือจุดสมดุลของราคาในตลาด
  • ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายรูปแบบร่วมกัน ทั้งแนวรับแนวต้าน โมเมนตัม และรูปแบบกราฟ เพื่อหาโอกาสในการเทรด
  • เป็นระบบเทรดที่ให้ความสำคัญกับ Supply and demand (อุปทานและอุปสงค์) ที่ส่งผลต่อความผันผวนของราคา
  • จุดเด่นของระบบเทรด Equilibrium คือ มีความปลอดภัย ใช้ได้กับทุกคู่เงิน และเน้นความแม่นยำในการเปิดออเดอร์แต่ละไม้
  • จุดอ่อนคือความเสี่ยงจากการ Overfitting หรือการปรับแต่งระบบให้เข้ากับข้อมูลในอดีตมากเกินไป ความผิดพลาดส่วนบุคคลจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงเช่นกัน

ระบบเทรด Equilibrium

ระบบเทรด Equilibrium นี่คือทางเลือกที่จะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จ ในการเทรด Forex เพราะเป็นเทคนิคการเทรดภายใต้สภาวะที่อุปสงค์และอุปทานในตลาดมีความสมดุลกัน ซึ่งมักจะแสดงออกมาในรูปแบบของการแกว่งตัวของราคาในกรอบของ Range หรือ Channel นั่นเอง

ระบบเทรด Equilibrium อาศัยหลักการนี้ ในการวิเคราะห์และตัดสินใจเข้าซื้อหรือขาย รายละเอียดมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

Equilibrium คืออะไร?

คำว่า Equilibrium ในแง่ของการเทรด Forex หมายถึง “สภาวะสมดุล” หรือ “จุดสมดุล” ของราคาในตลาด ระบบเทรด Equilibrium จึงเป็นระบบที่พยายามวิเคราะห์และคาดการณ์จุดสมดุลเหล่านี้ เพื่อเข้าซื้อหรือขายสกุลเงินในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด นั่นเอง

หลักการทำงานเบื้องต้น

ระบบเทรด Equilibrium จะเป็นการหาโอกาสในการเทรดโดยอาศัย ปัจจัยทางเทคนิค หลายอย่าง ดังนี้

  • ระดับแนวรับแนวต้าน: เป็นการระบุจุดที่ราคาเคยหยุดพักหรือเปลี่ยนทิศทาง
  • ตัวชี้วัดทางเทคนิค: มีการใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น RSI, MACD, Bollinger Bands เป็นต้น เพื่อวัดโมเมนตัมและความผันผวนของราคา
  • รูปแบบกราฟ: มีการพิจารณารูปแบบกราฟของราคาร่วมด้วย เช่น หัวและไหล่, สามเหลี่ยม เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต
Supply and demand (อุปทานและอุปสงค์) คือสิ่งที่กำหนด “จุดสมดุล”

กุญแจสำคัญคือ “จุดสมดุล”

สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักหรือเป็นกุญแจสำคัญ ในการพิจารณาเพื่อค้นหาว่า “จุดสมดุล” ของราคา มีรูปแบบเป็นอย่างไร ให้พิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

  • ราคาจะถูกกำหนดโดย Supply and demand (อุปทานและอุปสงค์)
  • ก่อนที่ราคาจะขึ้นหรือลง ความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานจะสร้างความสมดุลให้ราคา
  • หากความสมดุลนี้มีความแตกต่างกัน ราคาจะวิ่งไปในทิศทางของอุปทานหรือของอุปสงค์ ขึ้นอยู่กับว่าฝั่งไหนที่มีแรงมากกว่ากัน
  • ราคาจะเคลื่อนไหวไปตราบเท่าที่อุปทานหรืออุปสงค์มีความแตกต่าง จนกระทั่งเกิดความสมดุลอีกครั้ง จากนั้นทุกอย่างก็จะเริ่มต้นใหม่เหมือนเดิมตั้งแต่ต้นอีกที

ความสมดุลของราคาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่อย่างนี้ ตามสภาวะของอุปสงค์และอุปทานที่มีในตลาด โดยจะเกิดขึ้นอย่างไม่จบไม่สิ้น

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับราคา

Supply and demand (อุปทานและอุปสงค์) ที่สร้างผลกระทบกับราคา ที่เกิดขึ้นในตลาด Forex แบ่งออกเป็น 3 สถานะที่แตกต่างกัน

  1. Supply (อุปทานหรือข้อเสนอ) มีน้ำหนักมากกว่า demand (อุปสงค์หรือความต้องการ) = ราคาลดลง
  2. demand (อุปสงค์หรือความต้องการ) มีน้ำหนักมากกว่า Supply (อุปทานหรือข้อเสนอ) = ราคาเพิ่มขึ้น
  3. Supply and demand อุปทานและอุปสงค์ มีความสมดุล = ราคาอยู่ในกรอบ
Supply and demand
ลักษณะของ Supply and demand ที่เกิดขึ้นบนราคาคู่เงินในตลาด Forex

Supply and demand ในตลาด Forex

ในตลาด Forex การพิจารณาว่าใครคือผู้กำหนด Supply and demand ให้เกิดขึ้น พิจารณาได้ ดังนี้

  • Supply (อุปทาน) คือ Offer Seller ผู้เสนอขาย = Sell (short)
  • demand (อุปสงค์) คือ Request Buyer คำขอผู้ซื้อ = Buy (long)

ข้อดีของระบบ Equilibrium

มีข้อดีในการใช้ระบบเทรด Equilibrium ที่น่าสนใจหลายข้อเช่นกัน ที่ชวนให้น่าทดลองนำไปใช้ เช่น

  1. เน้นความปลอดภัย: เนื่องจากระบบนี้จะเน้นการเทรดในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบ ทำให้ลดความเสี่ยงจากการขาดทุน ในจังหวะที่ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด
  2. ง่ายต่อการเรียนรู้: หลักการของระบบนี้ค่อนข้างเข้าใจง่าย และมีเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ให้เลือกใช้มากมาย
  3. ใช้ได้กับทุกคู่สกุลเงิน: ระบบเทรดนี้สามารถนำไปใช้ได้กับทุกคู่สกุลเงิน โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่คู่สกุลเงินหลัก ๆ เท่านั้น
  4. เน้นความแม่นยำ: ระบบนี้ไม่ได้เน้นการทำนายราคาในระยะยาว แต่เน้นการหาจุดเข้าซื้อขายที่ค่อนข้างแม่นยำในระยะสั้น
  5. ลดความเสี่ยง: การใช้แนวรับแนวต้านและตัวชี้วัดต่าง ๆ ช่วยให้เราสามารถวางแผนการจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น

นี่คือระบบเทรดที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเทรด Forex ด้วยหลักการที่เข้าใจง่ายและเน้นความปลอดภัย แต่การจะประสบความสำเร็จในการเทรด Forex นั้น ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การฝึกฝน การจัดการเงินทุน และวินัยในการเทรด

ระบบเทรด The Equilibrium
ระบบเทรด Equilibrium สามารถนำเครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ได้หลายตัว

เครื่องมือที่ใช้

ระบบเทรด Equilibrium เป็นระบบที่ค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถนำเครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและคู่สกุลเงินที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม เครื่องมือที่นิยมนำมาใช้ในระบบนี้โดยทั่วไป ก็จะมีดังนี้

เครื่องมือพื้นฐานที่ขาดไม่ได้

  • แนวรับ แนวต้าน: เป็นเส้นที่ลากผ่านจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคา เพื่อระบุระดับราคาที่คาดว่าราคาจะเกิดการกลับตัว
  • Moving Average (MA): เป็นเส้นที่ลากผ่านราคาปิดในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เป็นตัวบ่งชี้ที่ช่วยในการระบุแนวโน้มของราคา และใช้เป็นแนวรับ แนวต้านเคลื่อนที่ได้
  • Channel: เป็นเส้นคู่ขนานที่ลากผ่านจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคา เพื่อกำหนดขอบเขตของการเคลื่อนไหวของราคา

เครื่องมือเพิ่มเติมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

  • ออสซิลเลเตอร์: เช่น RSI, Stochastic, MACD เป็นต้น ช่วยในการวัดโมเมนตัมของราคา และระบุจุดที่ราคาอาจจะเกิดการกลับตัว
  • Fibonacci retracement: ใช้ในการหาจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยอาศัยหลักการของตัวเลขลำดับ Fibonacci
  • Volume: ปริมาณการซื้อขาย ช่วยในการยืนยันสัญญาณที่ได้จากเครื่องมืออื่น ๆ

การเลือกใช้เครื่องมือ

ในการเลือกใช้เครื่องมือสำหรับระบบเทรด Equilibrium จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น

  • กรอบเวลา: กรอบเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์จะส่งผลต่อการเลือกใช้เครื่องมือ
  • คู่สกุลเงิน: แต่ละคู่สกุลเงินจะมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน
  • สไตล์การเทรด: ผู้เทรดแต่ละคนจะมีสไตล์การเทรดที่แตกต่างกัน

ระบบเทรด Equilibrium เป็นระบบที่ยืดหยุ่น สามารถนำเครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้เป็นอย่างดี

Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ของระบบ Equilibrium

Fibonacci สำหรับระบบเทรด Equilibrium

เครื่องมือ Fibonacci Retracement ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยอาศัยลำดับของตัวเลขฟีโบนักชี เพื่อคาดการณ์ระดับราคาที่อาจเกิดการกลับตัว โดยจะช่วยให้เราหาจุดเข้าซื้อหรือขายที่เป็นไปได้ มีวิธีการดังนี้

  • ระบุจุด Swing High และ Swing Low:
    • Swing High: จุดสูงสุดของราคาที่อยู่ระหว่างจุดต่ำสุดสองจุด
    • Swing Low: จุดต่ำสุดของราคาที่อยู่ระหว่างจุดสูงสุดสองจุด
  • วาดเส้น:
    • แนวโน้มขาขึ้น: วาดเส้นจากจุด Swing Low ไปยังจุด Swing High ที่ตามมา
    • แนวโน้มขาลง: วาดเส้นจากจุด Swing High ไปยังจุด Swing Low ที่ตามมา
  • กำหนดระดับ Fibonacci:

ระบบจะแสดงระดับ Fibonacci ที่สำคัญ เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 78.6% ระดับของตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงเปอร์เซ็นต์ที่ราคาอาจจะ retrace กลับมาจากจุดสูงสุดหรือต่ำสุด

การนำไปใช้กับระบบ Equilibrium

  • ยืนยันแนวโน้ม: สามารถใช้เส้น Fibonacci เพื่อยืนยันแนวโน้มที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมืออื่น ๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
  • หาจุดเข้าซื้อ/ขาย: ระดับ Fibonacci สามารถใช้เป็นจุดเข้าซื้อหรือขายได้ โดยเฉพาะเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับเหล่านี้และมีสัญญาณอื่น ๆ สนับสนุน
  • ตั้ง Stop-loss และ Take-profit: สามารถใช้ระดับ Fibonacci ในการตั้ง Stop-loss และ Take-profit เพื่อจำกัดความเสี่ยงและรักษาผลกำไรได้
ภาพตัวอย่างการใช้ Fibonacci Retracement ในแนวโน้มขาขึ้น

ตัวอย่างการใช้ Fibonacci Retracement ในแนวโน้มขาขึ้น:

  • เมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด (Swing High) และเริ่มปรับตัวลดลง
  • เราจะวาดเส้น Fibonacci จากจุด Swing Low ไปยังจุด Swing High
  • ระดับ Fibonacci ที่สำคัญ เช่น 38.2% และ 61.8% จะเป็นระดับที่คาดว่าราคาอาจจะเกิดการดีดตัวกลับขึ้นมา
ภาพตัวอย่างการใช้ Fibonacci Retracement ในแนวโน้มขาลง

ตัวอย่างการใช้ Fibonacci Retracement ในแนวโน้มขาลง:

  • เมื่อราคาเคลื่อนที่ลงไปถึงจุดต่ำสุด (Swing Low) และเริ่มปรับตัวสูงขึ้น
  • เราจะวาดเส้น Fibonacci จากจุด Swing High ไปยังจุด Swing Low
  • ระดับ Fibonacci ที่สำคัญ เช่น 38.2% และ 61.8% จะเป็นระดับที่คาดว่าราคาอาจจะเกิดการดีดตัวกลับลงมา

RSI สำหรับระบบเทรด Equilibrium

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา และช่วยให้นักลงทุนประเมินว่าถูกซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายในระบบเทรด Equilibrium โดยมีหลักในการพิจารณา ดังนี้

  • RSI 70 ขึ้นไป: อยู่ในช่วงถูกซื้อมากเกินไป (overbought) มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง
  • RSI 30 ลงมา: อยู่ในช่วงถูกขายมากเกินไป (oversold) มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น

การนำไปใช้กับระบบ Equilibrium

  • Divergence:
    • Positive Divergence: เมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ RSI ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นสัญญาณซื้อ
    • Negative Divergence: เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นสัญญาณขาย
  • RSI Overbought/Oversold:
    • RSI > 70: อาจเป็นสัญญาณขาย แต่ควรระวังภาวะ Sideways หรือช่วงที่ตลาดผันผวนสูง
    • RSI < 30: อาจเป็นสัญญาณซื้อ แต่ควรระวังภาวะ Sideways หรือช่วงที่ตลาดผันผวนสูง
RSI
RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดโมเมนตัมในระบบเทรด Equilibrium

วิธีใช้ RSI กับระบบ Equilibrium

  • ระบุจุดกลับตัว: เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปแตะแนวต้าน และ RSI อยู่ในโซน overbought พร้อมกับเกิด Negative Divergence อาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะเริ่มปรับตัวลดลง
  • ยืนยันแนวโน้ม: เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก และ RSI ยืนยันแนวโน้มนั้น อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไป
  • หาจุดเข้าซื้อ/ขาย: เมื่อ RSI ตัดจากโซน oversold ขึ้นมา และราคาเคลื่อนที่ไปแตะแนวรับ อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
การเลือกค่า Period ของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average = MA)

การเลือกค่า Period ของเส้น MA

การเลือกค่า Period ของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average = MA) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบเทรด Equilibrium เนื่องจากค่า Period ที่แตกต่างกันจะให้ภาพของแนวโน้มที่แตกต่างกันออกไป ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกค่า Period มีดังนี้

กรอบเวลาในการเทรด:

  • ระยะสั้น: หากเทรดในกรอบเวลาสั้น เช่น 5 นาที 15 นาที ควรใช้ค่า Period ที่ต่ำ เช่น 5, 10, 20 เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
  • ระยะกลาง: สำหรับกรอบเวลา 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง ควรใช้ค่า Period ที่ปานกลาง เช่น 50, 100 เพื่อจับแนวโน้มระยะกลาง
  • ระยะยาว: หากเทรดในกรอบเวลารายวัน รายสัปดาห์ ควรใช้ค่า Period ที่สูง เช่น 200, 500 เพื่อจับแนวโน้มระยะยาว

ความผันผวนของตลาด:

  • ในตลาดที่ผันผวนสูง: ควรใช้ค่า Period ที่ต่ำ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาได้เร็วขึ้น
  • ในตลาดที่เคลื่อนไหวช้า: ควรใช้ค่า Period ที่สูง เพื่อลดสัญญาณรบกวน

คู่สกุลเงิน:

  • แต่ละคู่สกุลเงินจะมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน ควรทดลองใช้ค่า Period ที่แตกต่างกันเพื่อหาค่าที่เหมาะสมกับแต่ละคู่

สไตล์การเทรด:

  • นักเทรดแต่ละคนจะมีสไตล์การเทรดที่แตกต่างกัน บางคนชอบเทรดตามแนวโน้ม บางคนชอบเทรดสวนทางกับแนวโน้ม การเลือกค่า Period จึงขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคลด้วย

เงื่อนไขการเทรด

เงื่อนไขการเทรดเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การเทรด ระบบ Equilibrium มีเงื่อนไขการเทรดที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายได้อย่างเป็นระบบ และลดความผิดพลาดจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์ได้ ดังนี้

ภาพตัวอย่าง เงื่อนไขการเข้าซื้อ (Buy)

เงื่อนไขการเข้าซื้อ:

  • ราคาปิดเหนือแนวต้านสำคัญ
  • RSI ตัดขึ้นเหนือเส้นกลาง
  • เส้น MA เกิดสัญญาณซื้อ
ภาพตัวอย่าง เงื่อนไขการเข้าขาย (Sell)

เงื่อนไขการขาย:

  • ราคาปิดต่ำกว่าแนวรับสำคัญ
  • RSI ตัดลงต่ำกว่าเส้นกลาง
  • เส้น MA เกิดสัญญาณขาย

เงื่อนไขการตั้ง Stop-loss:

  • ตั้ง Stop-loss ใต้แนวรับล่าสุด (สำหรับการซื้อ) หรือเหนือแนวต้านล่าสุด (สำหรับการขาย)
  • ตั้ง Stop-loss ตามเปอร์เซ็นต์ของราคาปัจจุบัน เช่น 2%

เงื่อนไขการตั้ง Take-profit:

  • ตั้ง Take-profit ที่ระดับ Fibonacci retracement หรือแนวต้านถัดไป (สำหรับการซื้อ)
  • ตั้ง Take-profit ที่ระดับ Fibonacci retracement หรือแนวรับถัดไป (สำหรับการขาย)

เงื่อนไขอื่น ๆ:

  • จำนวนครั้งที่สัญญาณตรงกันก่อนเข้าเทรด
  • ขนาด Lot ที่จะใช้ในการเทรด
  • ความถี่ในการเทรด

ปัจจัยที่ควรพิจารณา

ปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาเพิ่มเติมในการกำหนดเงื่อนไขในการเทรดด้วยระบบ Equilibrium มีดังนี้

  • ลักษณะของตลาด: ตลาดที่ผันผวนสูงอาจต้องใช้เงื่อนไขที่เข้มงวดกว่าตลาดที่เคลื่อนไหวช้า
  • คู่สกุลเงิน: แต่ละคู่สกุลเงินจะมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน ควรปรับแต่งเงื่อนไขให้เหมาะสม
  • กรอบเวลา: กรอบเวลาในการเทรดที่แตกต่างกัน จะต้องใช้เงื่อนไขที่แตกต่างกัน
  • ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: นักลงทุนแต่ละคนจะมีความเสี่ยงที่ยอมรับได้แตกต่างกัน ควรปรับแต่งขนาด Lot และการตั้ง Stop-loss ให้เหมาะสม

กลยุทธ์การเทรดด้วย Equilibrium

กลยุทธ์การเทรดด้วยระบบ Equilibrium นั้นมีความหลากหลายมาก เนื่องจากเป็นระบบที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่นิยมใช้กันทั่วไปมักจะมีองค์ประกอบหลักที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้

ภาพตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ช่องราคาและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ในการเข้าเทรด

กลยุทธ์ที่ 1: กลยุทธ์ช่องราคาและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

หลักการ:

  • ใช้ช่องราคาเพื่อกำหนดขอบเขตการเคลื่อนไหวของราคา และใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าซื้อ/ขาย

เงื่อนไขการเข้าซื้อ:

  • ราคาทะลุผ่านแนวต้านของช่องราคา
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาวขึ้น

เงื่อนไขการขาย:

  • ราคาทะลุผ่านแนวรับของช่องราคา
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาวลง

Stop-loss:

  • ตั้งไว้ใต้แนวรับล่าสุด (สำหรับการซื้อ) หรือเหนือแนวต้านล่าสุด (สำหรับการขาย)

Take-profit:

  • ตั้งไว้ที่เป้าหมายราคาที่คำนวณได้จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ระดับ Fibonacci retracement หรือแนวรับ/แนวต้านถัดไป
RSI และแนวรับแนวต้าน
ภาพตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ RSI และแนวรับแนวต้าน ในการเข้าเทรด

กลยุทธ์ที่ 2: กลยุทธ์ RSI และแนวรับแนวต้าน

หลักการ:

  • ใช้ RSI เพื่อวัดโมเมนตัมของราคา และใช้แนวรับแนวต้านเพื่อหาจุดเข้า ซื้อ/ขาย

เงื่อนไขการเข้าซื้อ:

  • ราคาเคลื่อนไหวมาแตะแนวรับ
  • RSI อยู่ในโซน oversold และเริ่มมีสัญญาณ divergence

เงื่อนไขการขาย:

  • ราคาเคลื่อนไหวมาแตะแนวต้าน
  • RSI อยู่ในโซน overbought และเริ่มมีสัญญาณ divergence

Stop-loss:

  • ตั้งไว้ใต้แนวรับล่าสุด (สำหรับการซื้อ) หรือเหนือแนวต้านล่าสุด (สำหรับการขาย)

Take-profit:

  • ตั้งไว้ที่เป้าหมายราคาที่คำนวณได้จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค

คำแนะนำเพิ่มเติม

จากตัวอย่างของกลยุทธ์ที่นำมาแสดงนั้น นักเทรดแต่ละท่านสามารถประยุกต์นำไปใช้ในการเทรดตามสไตล์ของตัวเองได้ โดยมีคำแนะนำเพิ่มเติม ดังนี้

  1. เรียนรู้เครื่องมือทางเทคนิค: ควรศึกษาเครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ ให้เข้าใจ เช่น RSI, MACD, Fibonacci retracement
  2. ฝึกฝนการวิเคราะห์กราฟ: การวิเคราะห์กราฟเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับนักเทรด
  3. จัดการอารมณ์: การเทรดเกี่ยวข้องกับอารมณ์ การฝึกฝนการควบคุมอารมณ์จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล
  4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเทรด Forex ได้
จุดอ่อนของ ระบบเทรด The Equilibrium
จุดอ่อนของระบบ Equilibrium คือหากใช้ Indicator หลายตัว อาจเกิดสัญญาณหลอกได้

จุดอ่อนของระบบ Equilibrium

ระบบเทรด Equilibrium ถึงแม้จะเป็นระบบที่ได้รับความนิยมและมีความยืดหยุ่นสูง แต่ก็มีจุดอ่อนที่ควรระวัง ดังนี้

1. ความไม่แน่นอนของตลาด:

  • ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา: กลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลดีในอดีต อาจไม่ได้ผลในอนาคต
  • ปัจจัยภายนอก: เหตุการณ์ข่าวสารเศรษฐกิจหรือภัยธรรมชาติ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างรุนแรง ทำให้ระบบเทรดล้มเหลวได้

2. ข้อจำกัดของเครื่องมือทางเทคนิค:

  • เครื่องมือทางเทคนิคเป็นเพียงการคาดการณ์: ไม่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ 100%
  • การตีความที่แตกต่างกัน: นักลงทุนแต่ละคนอาจตีความสัญญาณจากเครื่องมือทางเทคนิคได้แตกต่างกัน

3. ความเสี่ยงจากการ Overfitting:

  • การปรับแต่งระบบให้เข้ากับข้อมูลในอดีตมากเกินไป: อาจทำให้ระบบทำงานได้ดีในข้อมูลที่ใช้ทดสอบ แต่กลับทำงานได้ไม่ดีในตลาดจริง
  • การ Generalize ไม่ได้: ระบบอาจไม่สามารถนำไปใช้กับคู่สกุลเงินหรือกรอบเวลาอื่น ๆ ได้

4. ข้อผิดพลาดจากมนุษย์:

  • การตั้งค่าระบบผิดพลาด: การตั้งค่าพารามิเตอร์ของเครื่องมือทางเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้เกิดสัญญาณที่ผิดพลาด
  • การตัดสินใจที่ขัดแย้งกับระบบ: การใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ อาจทำให้ละเลยสัญญาณที่ระบบส่งมา

การหาราคาที่ดีที่สุดนั้นเป็นเรื่องสำคัญเสมอ และราคาที่ดีที่สุดนั้นก็มักจะอยู่ในภาวะสมดุล แต่ในตลาด Forex นั้น มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ เครดิต By Primer Focus นาทีที่ 03:00 – 07:00

สรุป

ระบบเทรด Equilibrium คือกลยุทธ์การเทรดที่เน้นการหาจุดสมดุลของราคาในตลาด Forex โดยอาศัยหลักการของอุปสงค์และอุปทาน ที่เกิดผลกระทบต่อการวิ่งของราคา

จุดเด่นของระบบจะเน้นที่ความปลอดภัย ง่ายต่อการเรียนรู้ นำไปใช้ได้กับทุกคู่สกุลเงิน อีกทั้งยังมีความแม่นยำในการเทรดด้วย โดยเครื่องมือที่ใช้ของระบบเทรดนี้คือ โซนราคาที่เป็นแนวรับแนวต้าน, Moving Average, Channel, และ Fibonacci retracement

วิธีการใช้งานคือวิเคราะห์กราฟ เพื่อหาแนวรับ แนวต้าน แล้วกำหนดกรอบราคา และรูปแบบกราฟ เมื่อได้ครบตามเงื่อนไขแล้ว ก็ทำการเข้าเทรดโดยต้องมีการวาง Stop-loss, และ Take-profit เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้วย

การเทรดด้วยะบบเทรดนี้จะประสบความสำเร็จต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงประสบการณ์ของนักเทรดเองด้วย

อ้างอิง

https://youtu.be/PEMkfgrifDw

https://youtu.be/PNtKXWNKGN8

 

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments