Forexthai.in.th ย่อให้
- จุดเด่นของระบบ DIBS Method: ระบบนี้เน้นการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนที่ค่อนข้างง่าย เมื่อเจอรูปแบบ Inside Bar ที่ตรงตามเงื่อนไข ก็สามารถเข้าเทรดได้เลย
- ข้อจำกัดของระบบ: รูปแบบ Inside Bar อาจเกิดขึ้นบ่อยในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง จึงทำให้เกิดสัญญาณปลอมได้ การพึ่งพารูปแบบนี้เพียงอย่างเดียว ถือว่ายังไม่พอ ต้องมีตัวช่วย
- เครื่องมือที่ใช้: ใช้ชาร์ตแท่งเทียนเป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์รูปแบบ Inside Bar โดยใช้ควบคู่กับเครื่องมือวาดเส้น เพื่อใช้สำหรับวาดจุดสูงสุดต่ำสุดและแนวรับแนวต้าน
- การกำหนดกรอบเวลา: ควรใช้ช่วงเวลาที่ตลาดของสกุลเงินนั้น ๆ เปิด เพื่อกำหนดเป็น High-Low จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ระบบเทรด The DIBS Method นี่คือวิธีการเทรดในตลาด Forex ที่ต้องบอกเลยว่าทำตามได้ง่ายมาก วิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาไม่ยุ่งยากอะไรเลย โดยมีหลักการพื้นฐานอยู่บนแนวคิดที่ว่าราคามักจะวิ่งอยู่ในกรอบแคบ ๆ ก่อนที่จะพุ่งแรงขึ้นในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
มีผู้มาแชร์ประสบการณ์ในการใช้งานระบบเทรดตัวนี้ โดยอ้างว่าใช้มาแล้วกว่า 15 ปี ผลลัพธ์ที่ได้ดีเกินคาด อย่างนี้มันต้องพิสูจน์ ไปดูวิธีใช้งานระบบเทรดตัวนี้กันเลย
สารบัญบทความ click เพื่อเลือกอ่าน !!
ข้อมูลเบื้องต้น
คำว่า DIBS ย่อมาจาก Daily Inside Bar Setup แปลว่าการตั้งค่าภายในบาร์ทุกวัน ซึ่งเป็นระบบเทรดที่เน้นการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนภายใน TF Day เพื่อค้นหาโอกาสในการเข้าซื้อหรือขาย หลักการทำงานของระบบ DIBS Method มีดังนี้
การระบุ Inside Bar:
แท่งเทียนภายในวัน (Inside Bar) จะเกิดขึ้นเมื่อแท่งเทียนปัจจุบันถูกห่อหุ้มอยู่ภายในแท่งเทียนก่อนหน้าคือ
- High ของแท่งเทียนปัจจุบันต่ำกว่า High ของแท่งเทียนก่อนหน้า
- Low ของแท่งเทียนปัจจุบันสูงกว่า Low ของแท่งเทียนก่อนหน้า
ทำไม Inside Bar ถึงน่าสนใจ?
- มีความผันผวนลดลง: Inside Bar บ่งบอกว่าแรงซื้อและแรงขายในตลาดกำลังลดลง ทำให้ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ
- มีโอกาสในการวิ่งแรง ๆ ตามมา: หลังจากเกิด Inside Bar สักระยะหนึ่งแล้ว ราคาอาจจะวิ่งออกจากกรอบไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
การนำ Inside Bar ไปใช้ในการเทรด:
- การเข้าซื้อ: หากราคาปิดของแท่งเทียนถัดไปสูงกว่า High ของแท่งเทียน Inside Bar แสดงว่ามีแรงซื้อเข้ามา อาจเป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ
- การขาย: หากราคาปิดของแท่งเทียนถัดไปต่ำกว่า Low ของแท่งเทียน Inside Bar แสดงว่ามีแรงขายเข้ามา อาจเป็นสัญญาณให้เข้าขาย
ข้อดีของระบบ DIBS Method
- มีความเรียบง่าย: ระบบนี้ใช้หลักการพื้นฐานที่เข้าใจง่าย ทำให้ผู้เริ่มต้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
- มีความสม่ำเสมอ: การเกิด Inside Bar เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจน ทำให้สามารถเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีวินัย
- มีความยืดหยุ่น: สามารถนำไปปรับใช้กับคู่สกุลเงินและกรอบเวลาต่าง ๆ ได้
- ใช้ได้ดีกับสกุลเงินหลัก: เป็นระบบเทรดที่ให้สัญญาณที่ดีกับสกุลเงินหลัก (USD/JPY, USD/CHF, EUR/USD, GBP/USD)
เครื่องมือที่ใช้
DIBS Method เป็นระบบการเทรดที่เน้นการวิเคราะห์รูปแบบของแท่งเทียน โดยเฉพาะรูปแบบ Inside Bar เพื่อหาโอกาสในการเข้าเทรด Forex ดังนั้นเครื่องมือหลักที่ใช้ในระบบเทรดนี้จึงได้แก่
- ชาร์ตแท่งเทียน: เป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์รูปแบบ Inside Bar และการเคลื่อนไหวของราคา
- ตัวชี้วัดทางเทคนิค: แม้ว่า DIBS Method จะเน้นรูปแบบแท่งเทียน แต่ตัวชี้วัดบางอย่างก็สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจได้ เช่นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือดัชนีความแรงสัมพัทธ์ (RSI) เป็นต้น
- เครื่องมือวาดเส้น: ใช้สำหรับวาดเส้น High – Low รวมทั้งแนวรับแนวต้าน เพื่อยืนยันจุดเข้าซื้อขายและตั้ง Stop Loss
การกำหนดช่วงเวลาของแท่งเทียน
กราฟ Day หรือ กราฟรายวัน เป็นกราฟที่แสดงการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงเต็ม โดยปกติจะเริ่มต้นนับตั้งแต่เวลา 00:00 น. ถึง 23:59 น. ตามเวลาของตลาดหลักที่สินทรัพย์นั้นซื้อขาย แต่ปัญหาคือตลาด Forex เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาปิดที่แน่นอน เพราะมีตลาดต่าง ๆ ทั่วโลกสลับกันเปิดทำการ ดังนั้น “00:00 น.” ที่ว่านี้ จึงไม่ได้หมายถึงเวลา 00:00 น. ในประเทศไทยเสมอไป
การกำหนดว่ากราฟ Day เริ่มต้นและสิ้นสุดเมื่อไหร่?
- ขึ้นอยู่กับโซนเวลาของตลาดหลัก: กราฟ Day จะเริ่มต้นและสิ้นสุดตามเวลาของตลาดหลักที่สินทรัพย์นั้นซื้อขายมากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังดูกราฟคู่เงิน EUR/USD กราฟ Day จะเริ่มต้นและสิ้นสุดตามเวลาของตลาดลอนดอน ซึ่งเป็นตลาดหลักสำหรับคู่เงิน EUR
- แพลตฟอร์มการเทรด: แต่ละแพลตฟอร์มการเทรดอาจมีการตั้งค่าเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของกราฟ Day ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ควรตรวจสอบในส่วนของการตั้งค่าของแพลตฟอร์มที่คุณใช้งาน
- กราฟ Day บน TradingView.com: เมื่อเทียบกับเวลาในประเทศไทย จะเริ่มต้นและสิ้นสุดตามเวลาของตลาดหลักที่คู่สกุลเงินนั้นซื้อขายมากที่สุด ไม่ได้อิงตามเวลาในประเทศไทยโดยตรง
เหตุผลที่ต้องกำหนดเวลาให้แน่นอน
- ตลาด Forex เปิด 24 ชั่วโมง: เนื่องจากตลาด Forex ไม่ได้มีเวลาเปิด-ปิดที่ตายตัวเหมือนตลาดหุ้น ทำให้การกำหนดจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของแต่ละวันจึงอิงตามเวลาของตลาดหลัก
- โซนเวลาของตลาด: ตลาดหลักแต่ละแห่งมีโซนเวลาที่แตกต่างกัน เช่น ตลาดลอนดอน, ตลาดนิวยอร์ก, ตลาดโตเกียว เป็นต้น
- ความสะดวกในการวิเคราะห์: การกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของกราฟตามโซนเวลาของตลาดหลัก ทำให้การเปรียบเทียบข้อมูลและวิเคราะห์เทคนิคทำได้ง่ายขึ้น
เวลา UTC คืออะไร?
UTC (Coordinated Universal Time) หรือ เวลาสากลเชิงพิกัด คือเวลามาตรฐานที่ใช้เป็นหลักในการอ้างอิงเวลาทั่วโลก คล้ายกับเวลาที่เป็นกลางที่ทุกประเทศสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการคำนวณเวลาของตนได้ ดังนี้
- มาตรฐานสากล: เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมีมาตรฐานเวลาเดียวกันในการสื่อสารและประสานงาน
- การกำหนดเวลา: ใช้เป็นฐานในการคำนวณเวลาในแต่ละโซนเวลาทั่วโลก
- การใช้งานทางวิทยาศาสตร์: ใช้ในงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ต้องการความแม่นยำสูง
UTC เปรียบเทียบกับเวลาในกรุงเทพฯ
- กรุงเทพฯ อยู่ในโซนเวลา UTC+7: หมายความว่าเวลาในกรุงเทพฯ จะเร็วกว่าเวลา UTC อยู่ 7 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น หากเวลาในกรุงเทพฯ คือ 13:00 น. เวลา UTC จะเป็น 06:00 น. เป็นต้น
ทำไมเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของกราฟ Day จึงสำคัญ?
- การวิเคราะห์เทคนิค: การรู้เวลาที่แท่งเทียนเริ่มต้นและสิ้นสุด จะช่วยให้คุณวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนได้อย่างถูกต้อง และเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลานั้น
- การวางแผนการเทรด: การรู้เวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูงหรือต่ำ จะช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การบ่งชี้ทิศทางของราคา: หากคุณรู้ว่าราคาเปิดของวัน (และราคาปิดของเมื่อวาน) คือเท่าไร คุณจะรู้ได้ตลอดเวลาว่าราคานั้น “ขึ้น” หรือ “ลง” เมื่อเทียบกับราคาปิดของเมื่อวาน
สัญญาณการ Breakout
- สัญญาณ Breakout: หลังจากที่วางระดับ High – Low ของ Inside Bar ตามระบบเทรด DIBS Method ได้แล้ว ให้ใช้การทะลุขึ้นของแท่งอินไซด์บาร์รายชั่วโมงเท่านั้น ในการพิจารณา Break Out เพื่อเป็นสัญญาณเทรด
- เคล็ดลับพิเศษ: ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับราคาทะลุของแท่งด้านในที่ตรงตามเงื่อนไขในช่วงต้นของเซสชัน ซึ่งก็คือช่วง 9 – 10 ชั่วโมงแรกหลังตลาดเปิด
- เทรดตามเทรนด์: ต้องตรวจสอบว่าราคาขึ้นหรือลงเมื่อเทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ที่แล้วด้วย ให้เน้นที่การซื้อหากราคาอยู่ด้านบน และขายหากราคาอยู่ด้านล่าง
เงื่อนไขการเข้าเทรด
DIBS Method เป็นระบบการเทรดที่อาศัยการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน โดยเฉพาะรูปแบบ Inside Bar เพื่อหาจุดเข้าซื้อหรือขายที่เป็นไปได้สูง การเข้าเทรดตามระบบนี้จะต้องพิจารณาเงื่อนไขหลายประการ ดังนี้
รูปแบบ Inside Bar:
- แท่งเทียน Inside Bar: เป็นแท่งเทียนที่ทั้ง High และ Low อยู่ภายใน High และ Low ของแท่งเทียนก่อนหน้า
- แท่งเทียน Breakout: หลังจากเกิดรูปแบบ Inside Bar ราคาจะต้อง Breakout (ทะลุ) ออกไปจากช่วงของ Inside Bar
ทิศทางของการ Breakout:
- Buy Setup: ราคา Breakout ขึ้นไปเหนือ High ของแท่งเทียน Inside Bar
- Sell Setup: ราคา Breakout ลงต่ำกว่า Low ของแท่งเทียน Inside Bar
การยืนยันเพิ่มเติม:
- การปิดของแท่งเทียน Breakout: แท่งเทียน Breakout ควรปิดเหนือหรือต่ำกว่าระดับที่ Breakout เพื่อยืนยันสัญญาณ
- ปริมาณการซื้อขาย: ปริมาณการซื้อขายในแท่งเทียน Breakout ควรเพิ่มขึ้น เพื่อแสดงถึงแรงกดดันในการเคลื่อนไหวของราคา
ระดับ Support และ Resistance:
- Buy Setup: ราคาควร Breakout เหนือระดับ Resistance ที่สำคัญ
- Sell Setup: ราคาควร Breakout ต่ำกว่าระดับ Support ที่สำคัญ
ตัวอย่างการ Buy Setup:
- เกิดรูปแบบ Inside Bar: แท่งเทียนที่ 3 เป็น Inside Bar เนื่องจาก High และ Low อยู่ภายในแท่งเทียนที่ 2
- ราคา Breakout ขึ้นไป: แท่งเทียนที่ 4 ปิดเหนือ High ของแท่งเทียน Inside Bar
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น: ปริมาณการซื้อขายในแท่งเทียนที่ 4 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับแท่งเทียนก่อนหน้า
- ราคาปิดเหนือระดับ Resistance: ระดับ High ของแท่งเทียนที่ 2 ทำหน้าที่เป็น Resistance และราคาได้ปิดเหนือระดับนี้
- จุดเข้าซื้อ: ที่ High ของแท่งเทียน Breakout
- Stop Loss: ใต้ Low ของแท่งเทียน Inside Bar
- Take Profit: สามารถตั้งตามเป้าหมายกำไรที่กำหนดไว้ เช่น เท่ากับขนาดของรูปแบบ Inside Bar
ตัวอย่างการ Sell Setup:
- เกิดรูปแบบ Inside Bar: แท่งเทียนที่ 3 เป็น Inside Bar เนื่องจาก High และ Low อยู่ภายในแท่งเทียนที่ 2
- ราคา Breakout ลงมา: แท่งเทียนที่ 4 ปิดต่ำกว่า Low ของแท่งเทียน Inside Bar
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น: ปริมาณการซื้อขายในแท่งเทียนที่ 4 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับแท่งเทียนก่อนหน้า
- ราคาปิดต่ำกว่าระดับ Support: ระดับ Low ของแท่งเทียนที่ 2 ทำหน้าที่เป็น Support และราคาได้ปิดต่ำกว่าระดับนี้
- จุดเข้าขาย: ที่ Low ของแท่งเทียน Breakout
- Stop Loss: เหนือ High ของแท่งเทียน Inside Bar
- Take Profit: สามารถตั้งตามเป้าหมายกำไรที่กำหนดไว้ เช่น เท่ากับขนาดของรูปแบบ Inside Bar
จุดอ่อนของระบบ
ระบบ DIBS Method เป็นระบบการเทรดที่น่าสนใจและมีผู้ใช้งานจำนวนมาก แต่ก็มีจุดอ่อนที่ควรพิจารณาเช่นเดียวกับระบบการเทรดอื่น ๆ ดังนี้
- การตีความรูปแบบ: การตีความรูปแบบ Inside Bar อาจมีความคลุมเครือในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อมีแท่งเทียนที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
- พึ่งพารูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียว: การพึ่งพารูปแบบ Inside Bar เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการตัดสินใจซื้อขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีสภาวะไม่แน่นอน
- รอการยืนยัน: การรอให้เกิดการ Breakout และการยืนยันสัญญาณ อาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
- สภาพคล่อง: คู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องต่ำอาจมีการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ระบบ DIBS ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
ระบบเทรด DIBS Method เป็นระบบที่น่าสนใจและได้รับความนิยมสูงมาก แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่ควรพิจารณา เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความยุ่งยากกับเครื่องมือวิเคราะห์ราคาต่าง ๆ สามารถนำระบบเทรดนี้ไปใช้ได้เลย เพราะเป็นระบบที่ติดตามดูเพียงการ Breakout ของราคาสูงสุดต่ำสุดของวันก่อนหน้าเท่านั้นเอง
สิ่งที่ควรใส่ใจคือระบบเทรดตัวนี้อาจเกิดสัญญาณปลอมได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง เมื่อต้องพึ่งพารูปแบบ Inside Bar เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจ ใครที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับตัวชี้วัดใด ๆ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจก่อนเทรดได้
โดยรวมแล้วระบบ DIBS Method นับว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการทำกำไร การประสบความสำเร็จในการเทรดต้องอาศัยการเรียนรู้ การฝึกฝน และการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นั่นต่างหากที่สำคัญ
ทีมงาน: forexthai.in.th