Forexthai.in.th ย่อให้

  • หลักการพื้นฐาน: ระบบนี้เน้นการเทรดในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายสูง โดยเฉพาะช่วง Kill Zone และ NY Open เพื่อใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคา
  • เครื่องมือหลัก: ใช้ BOS การแตกโครงสร้างราคาเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม, HTF กรอบเวลาที่ใหญ่กว่าช่วยยืนยันแนวโน้ม, EMA20 บ่งบอกแนวโน้มและทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้าน, ATR14 วัดความผันผวนของราคา ช่วยในการกำหนดขนาด Position และ Stop-loss
  • เงื่อนไขการเข้าเทรด: เน้นการเทรดในกรอบเวลาเล็ก ๆ เช่น M1 หรือ M5 โดยพิจารณาจากสัญญาณของ EMA20, สีของแท่งเทียน, ปริมาณการซื้อขาย และค่า ATR14
  • S/R Breakout Phase: การทะลุผ่านแนวรับแนวต้าน เป็นสัญญาณสำคัญในการเข้าซื้อขาย
  • จุดแข็งและจุดอ่อน: ระบบนี้มีข้อดีคือเข้าใจง่ายและใช้ได้ผลในตลาดที่มีความผันผวนสูง แต่ก็มีข้อจำกัดคือมองเห็นภาพรวมได้ไม่ครอบคลุม และอาจเกิดสัญญาณหลอกได้

ระบบเทรด Scalping ของ “Machine” เป็นการเทรดในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายสูงอย่าง Kill Zone และ NY Open

การเทรดแบบ Scalping ด้วยระบบเทรดของ “Machine” (มาชิเน่) คือการเทรดโดยที่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์มากเกินไป จนมองข้ามว่าตลาดกำลังเกิดอะไรขึ้นเมื่อเทียบกับเงื่อนไขของระบบเทรด ระบบเทรดนี้ได้รับการพัฒนาและออกแบบมาเพื่อการเก็งกำไรระยะสั้น โดยอาศัยเงื่อนไขตลาดที่เอื้ออำนวยต่อการเข้าไปทำกำไร


ข้อมูลเบื้องต้น

ระบบเทรด Scalping ของ “Machine” เป็นการเทรด Forex ในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายสูง เป็นช่วงเวลาที่ปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดสำคัญ ๆ ทั่วโลกเปิดทำการพร้อมกัน ดังนี้

  • Kill Zone: คือช่วงเวลาที่ตลาดยุโรปและตลาดอเมริกาเหนือเปิดทำการพร้อมกัน ทำให้เกิดปริมาณการซื้อขายมหาศาลและความผันผวนของราคาสูงมาก ช่วงเวลานี้มักจะเต็มไปด้วยข่าวสารและปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อราคาสกุลเงินเป็นอย่างมาก
  • NY Open: คือช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดทำการ ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก การเปิดของตลาดนิวยอร์คมักจะส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาด Forex อย่างมาก โดยเฉพาะคู่เงินที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐฯ
NY Open
NY Open คือช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกเปิดทำการซื้อขาย

ปัจจัยสำคัญของระบบคือ BOS และ HTF

การนำ BOS และ HTF มาใช้ร่วมกันของระบบเทรด Scalping ของ “Machine” จะช่วยให้นักเทรดตัดสินใจในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความหมายของตัวย่อ BOS และ HTF คือ

BOS (Break of Structure):

  • ความหมาย: BOS ย่อมาจาก Break of Structure ซึ่งแปลว่าการแตกโครงสร้าง หมายถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่ทำลายรูปแบบเดิม ๆ หรือโครงสร้างของกราฟที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว
  • ความสำคัญ: BOS เป็นหนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยนักเทรดจะใช้ BOS เพื่อระบุจุดเข้าและออกจากตลาด โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างราคา
  • การนำไปใช้: เมื่อราคาทำลายโครงสร้างเดิมไปแล้ว เช่น ราคาทะลุแนวต้านสำคัญ หรือทำต่ำกว่าแนวรับสำคัญ นักเทรดจะถือว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม และอาจเป็นโอกาสในการเข้าเทรด

HTF (Higher Timeframe):

  • ความหมาย: HTF ย่อมาจาก Higher Timeframe หมายถึงกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า เช่น กราฟรายวัน, รายสัปดาห์, หรือรายเดือน เมื่อเทียบกับกรอบเวลาที่เล็กกว่า เช่น กราฟรายชั่วโมงหรือราย 5 นาที
  • ความสำคัญ: การวิเคราะห์ใน HTF จะช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดที่ชัดเจนขึ้น เนื่องจากปัจจัยระยะสั้นจะถูกกรองออกไป ทำให้สามารถระบุแนวโน้มหลักของตลาดได้ง่ายขึ้น
  • การนำไปใช้: ระบบเทรดนี้จะใช้ HTF เพื่อยืนยันสัญญาณจากกรอบเวลาที่เล็กกว่า เช่น หากสัญญาณซื้อในกราฟรายชั่วโมงสอดคล้องกับแนวโน้มขาขึ้นในกราฟรายวัน ก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณนั้นเป็นต้น
BOS (Break of Structure)
BOS (Break of Structure) คือการวิ่งของราคาที่ทำลายรูปแบบเดิมหรือโครงสร้างของกราฟที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่าง BOS และ HTF

โดยปกติแล้ว นักเทรดมักจะพยายามมองหาจุดเข้าซื้อหรือขายที่สอดคล้องกันทั้งในกรอบเวลาที่เล็กกว่าและใหญ่กว่า เพื่อลดความเสี่ยงในการเข้าตลาดที่ผิดพลาด อย่างเช่น

  • การหาจุดเข้าเทรด: นักเทรดอาจพบสัญญาณ BOS ในกราฟรายชั่วโมง แต่จะรอการยืนยันจากกราฟรายวันก่อนที่จะตัดสินใจเข้าเทรด
  • การยืนยันแนวโน้ม: นักเทรดอาจใช้ HTF เพื่อยืนยันแนวโน้มหลักของตลาด และใช้กรอบเวลาที่เล็กกว่าเพื่อหาจุดเข้าซื้อหรือขายในแบบ Scalping ที่แม่นยำยิ่งขึ้น

เมื่อ BOS เป็นปัจจัยที่ช่วยให้นักเทรดระบุจุดเปลี่ยนของแนวโน้มได้ ส่วน HTF ช่วยให้นักเทรดเห็นภาพรวมของตลาดและยืนยันสัญญาณได้ การนำทั้งสองอย่างมาใช้ร่วมกันจึงเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเทรดให้ดีขึ้นได้

เครื่องมือที่ใช้

ระบบเทรด Scalping ของ “Machine” นี้ เป็นการใช้ประโยชน์จากการย่อตัวลงเล็กน้อยในตลาด โดยการเก็งกำไรจากการย่อตัวลงเล็กน้อยเหล่านั้น เครื่องมือที่ใช้หลัก ๆ เลยก็คือ

EMA20 (Exponential Moving Average)
EMA20 (Exponential Moving Average) เป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จากราคาปิด 20 วันล่าสุด

EMA20 (Exponential Moving Average 20)

EMA20 เป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential ที่คำนวณจากราคาปิดของ 20 วันล่าสุด โดยให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่าราคาในอดีต ทำให้เส้น EMA20 มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่า Simple Moving Average (SMA) มีความสำคัญดังนี้

  • บ่งบอกแนวโน้ม: เมื่อราคาอยู่เหนือเส้น EMA20 แสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้น และเมื่อราคาอยู่ใต้เส้น EMA20 แสดงว่ามีแนวโน้มขาลง
  • เป็นแนวรับแนวต้าน: เส้น EMA20 สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้ เมื่อราคาสัมผัสเส้น EMA20 อาจเกิดการดีดตัวกลับ

วิธีใช้:

  • ระบุแนวโน้ม: หากราคาอยู่เหนือเส้น EMA20 และเส้น EMA20 มีความชันเป็นบวก แสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง และตรงกันข้าม หากราคาอยู่ใต้เส้น EMA20 และเส้น EMA20 มีความชันเป็นลบ แสดงว่ามีแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
  • หาจุดเข้าซื้อขาย: เมื่อราคาตัดเส้น EMA20 ขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณซื้อ และเมื่อราคาตัดเส้น EMA20 ลงมา อาจเป็นสัญญาณขาย
  • ตั้ง Stop-loss: ตั้ง Stop-loss ไว้ข้างบนหรือข้างใต้เส้น EMA20 เล็กน้อย หากราคาแตะ Stop-loss แสดงว่าสัญญาณผิดพลาด
ATR14 (Average True Range)
ATR14 (Average True Range) คำนวณจากค่าเฉลี่ยของ True Range ในช่วง 14 วันล่าสุด

ATR14 (Average True Range 14)

ATR14 เป็นตัวชี้วัดความผันผวนของราคา โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยของ True Range ในช่วง 14 วันล่าสุด ซึ่งมีความสำคัญดังนี้

  • วัดความผันผวน: ATR14 ช่วยให้สามารถประเมินระดับความผันผวนของตลาดได้
  • กำหนดขนาด Position: ATR14 สามารถนำมาใช้ในการกำหนดขนาด Position หรือ Stop-loss ได้

วิธีใช้:

  • วัดความผันผวน: เมื่อ ATR14 สูงขึ้น แสดงว่าตลาดมีความผันผวนสูง และเมื่อ ATR14 ลดลง แสดงว่าตลาดมีความผันผวนต่ำ
  • กำหนด Stop-loss: คูณ ATR14 ด้วยค่าคงที่ (เช่น 2 หรือ 3) เพื่อกำหนดระดับ Stop-loss
  • กำหนด Take Profit: คูณ ATR14 ด้วยค่าคงที่ เพื่อกำหนดระดับ Take Profit

การนำ EMA20 และ ATR14 มาใช้ร่วมกัน

การนำ EMA20 และ ATR14 มาใช้ร่วมกัน จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ตลาดได้รอบด้านมากขึ้น ดังนี้

  • การยืนยันแนวโน้ม: เมื่อราคาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับเส้น EMA20 และ ATR14 มีค่าสูงขึ้น แสดงว่าแนวโน้มนั้นมีความแข็งแกร่ง
  • การกำหนดจุดเข้าซื้อขาย: เมื่อราคาตัดเส้น EMA20 และ ATR14 มีค่าลดลง อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหรือขาย
  • การบริหารความเสี่ยง: ใช้ ATR14 ในการกำหนด Stop-loss และ Take Profit เพื่อบริหารความเสี่ยง

อย่างเช่นราคาของ EUR/USD อยู่เหนือเส้น EMA20 และเส้น EMA20 มีความชันเป็นบวก แสดงว่ามีแนวโน้มขาขึ้น ให้เข้า Buy และตั้ง Stop-loss ไว้ใต้เส้น EMA20 เล็กน้อย และใช้ ATR14 ในการกำหนด Take Profit

ใช้ Indicator EMA20 และ ATR14 ร่วมกัน
การนำเครื่องมือ Indicator อย่าง EMA20 และ ATR14 มาใช้ร่วมกัน เพื่อช่วยในการเทรด Forex

เงื่อนไขการเข้าเทรด

เงื่อนไขของระบบการซื้อขายด้วยระบบเทรดตัวนี้ ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมายเลย โดยมีเงื่อนไขการเข้าเทรด ดังนี้

  • กรอบเวลา: กรอบเวลาที่จะเข้าเทรด ให้ซื้อขายในกรอบเวลาที่ต่ำ ๆ เช่น M1 หรือ M5
  • เงื่อนไข EMA: ราคาต้องอยู่เหนือ 20 EMA จึงจะซื้อและต่ำกว่าจึงจะขาย
  • เงื่อนไขของแท่งเทียน: สีของแท่งเทียนต้องเปลี่ยนไปตามแนวโน้ม ต้องเป็นแท่งที่แข็งแกร่ง โดยราคาปิดต้องมากกว่า 75% ของช่วงราคา และปริมาณของแท่งตั้งค่าจะต้องสูงกว่าแท่งก่อนหน้า
  • ข้อกำหนด ATR: ATR14 ต้องอยู่เหนือ 4 Pips หรืออยู่ภายใน NY KZ (ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ 8:00 น. ถึง 12:00 น. (EST) เป็นตลาดของลอนดอนและนิวยอร์กเปิดทำการซื้อขาย)
  • เป้าหมาย TP: ตั้งเป้าที่ 1R (หนึ่งเท่าของช่วงแท่งเทียนตั้งค่า)
  • จุดตั้ง SL: สามารถวางได้ใกล้กับจุดต่ำสุดของแท่งเทียนตั้งค่า (สำหรับการซื้อ) หรือจุดสูงสุด (สำหรับการขาย)

เส้น EMA เป็นตัวช่วยเพื่อให้แน่ใจว่าเราเทรดสอดคล้องกับผู้เล่นรายใหญ่ ส่วน ATR ช่วยให้แน่ใจว่าตลาดมีความผันผวนเพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการกำหนดตำแหน่งเก็งกำไร

ตัวอย่างเงื่อนไขการเข้าเทรด ใน M5
ตัวอย่างเงื่อนไขการเข้าเทรดตามระบบ ใช้ช่วงเวลา M5 และเข้าเทรดเมื่อเกิดสัญญาณทั้งรูปแบบ Buy และ Sell

S/R Breakout Phase

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมเมื่อต้องใช้ระบบเทรดนี้คือเรื่อง S/R (Support/Resistance) Breakout Phase ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่ราคาของคู่เงินเคลื่อนที่ทะลุผ่าน แนวรับ (Support) หรือ แนวต้าน (Resistance) ซึ่งเป็นระดับราคาที่ในอดีตราคามักจะหยุดพักหรือเปลี่ยนทิศทางในการเคลื่อนไหว

ทำไม S/R Breakout Phase ถึงสำคัญ?

ความสำคัญของ S/R Breakout Phase ในการเทรด Forex คือ

  • สัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม: เมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านอย่างแข็งแกร่ง มักเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแนวโน้มของราคาอาจกำลังเปลี่ยนแปลงไป
  • จุดเข้าซื้อขาย: นักเทรดจำนวนมากใช้การ Breakout เพื่อเป็นจุดเข้าซื้อหรือขาย โดยหวังว่าราคาจะเคลื่อนที่ต่อในทิศทางเดียวกับการ Breakout
  • การตั้ง Stop-loss: นักเทรดมักจะตั้ง Stop-loss ไว้ใกล้ระดับแนวรับหรือแนวต้านเดิม เพื่อจำกัดความเสียหายหากราคาเคลื่อนไหวกลับทิศทาง

S/R Breakout Phase มีกี่แบบ?

รูปแบบของ S/R Breakout Phase มี 2 ลักษณะ ดังนี้

  1. Breakout ขึ้น (Upward Breakout): เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ทะลุผ่านแนวต้านขึ้นไปด้านบน ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
  2. Breakout ลง (Downward Breakout): เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ทะลุผ่านแนวรับลงมาด้านล่าง ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
รูปแบบของ S/R Breakout Phase
รูปแบบของ S/R Breakout Phase มี 2 แบบ คือ Breakout ขึ้น และ Breakout ลง

ปัจจัยในการวิเคราะห์ Breakout

ปัจจัยในการพิจารณาเพื่อวิเคราะห์ Breakout มีดังนี้

  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume): ปริมาณการซื้อขายที่สูงในช่วง Breakout จะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหว
  • การยืนยันซ้ำ (Retest): หลังจากเกิด Breakout ราคาอาจจะเคลื่อนไหวกลับมาทดสอบแนวรับหรือแนวต้านเดิมอีกครั้ง หากราคาสามารถยืนเหนือหรือต่ำกว่าระดับนั้นได้อีกครั้ง จะเป็นการยืนยันสัญญาณ Breakout
  • กรอบเวลา (Timeframe): การวิเคราะห์ Breakout ในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน (เช่น รายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์) จะช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดที่ชัดเจนขึ้น

S/R Breakout Phase เป็นหนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเข้าใจแนวคิดนี้จะช่วยให้นักเทรดสามารถระบุโอกาสในการเข้าซื้อหรือขาย และบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น

จุดอ่อนของระบบเทรด

การวิเคราะห์ Forex ด้วยการใช้ EMA20 และ ATR14 เป็นเครื่องมือของระบบเทรด Scalping ในแบบของ “Machine” นั้น ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ก็มีข้อจำกัดและจุดอ่อนที่ควรทราบ ดังนี้

  • มองเห็นภาพรวมได้ไม่ครอบคลุม: เนื่องจาก EMA20 และ ATR14 เน้นการวิเคราะห์ในระยะกลางและระยะสั้น อาจไม่สามารถจับสัญญาณในระยะยาวหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดได้อย่างชัดเจน
  • ปัจจัยพื้นฐาน: เครื่องมือทั้งสองไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน
  • สัญญาณหลอก (False Signal): EMA เป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อาจจะล่าช้าในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ส่วน ATR อาจให้ค่าที่ผันผวนสูงในช่วงตลาดที่มีความผันผวนมาก อาจเกิดสัญญาณหลอกได้
  • ไม่สามารถวัดความแรงของเทรนด์ได้: EMA แสดงเพียงแนวโน้มของราคา แต่ไม่สามารถบอกถึงความแรงของเทรนด์ได้ ส่วน ATR บ่งบอกถึงความผันผวน แต่ไม่สามารถบ่งบอกถึงทิศทางของราคาได้

เพื่อให้การวิเคราะห์ Forex มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรพิจารณาใช้เครื่องมืออื่น ๆ ร่วมด้วย เช่นโครงสร้างตลาด รูปแบบกราฟต่าง ๆ จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาดได้ดีขึ้น

False Signal
False Signal หรือสัญญาณหลอก อาจเกิดขึ้นได้กับการใช้ Indicator อย่าง EMA20

สรุป

ระบบเทรด Scalping ในแบบของ “Machine” เป็นระบบที่เน้นการเทรดระยะสั้น โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก โดยเฉพาะการใช้ BOS (Break of Structure) และ HTF (Higher Timeframe) ร่วมกับ EMA20 และ ATR14 เพื่อหาจุดเข้าซื้อขายที่แม่นยำ

ระบบเทรดนี้ เป็นระบบที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเทรดระยะสั้น แต่ควรศึกษาและฝึกฝนเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจหลักการและสามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ควรระลึกเสมอว่าการเทรด Forex มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ทีมงาน: forexthai.in.th

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments