Forexthai.in.th ย่อให้
- ระบบ Martingale แบบ Manual ใช้ Bollinger Band เป็นตัวช่วยหลัก มีความยืดหยุ่นมากกว่าการใช้ EA
- เข้า Sell เมื่อราคาชนแนวต้าน และ Buy เมื่อแตะแนวรับ
- การเพิ่ม Lot ใช้อัตรา 1.5 เท่า เช่น 1 > 1.5 > 2.25 > 3.37 ช่วยลดความเสี่ยงได้ดีกว่าการเบิ้ลทุกระยะ
- ปรับใช้ให้เหมาะกับสภาวะตลาด โดยเพิ่มระยะห่าง Bollinger Band ให้กว้างขึ้นในช่วงเทรนด์ และแคบลงเมื่อตลาดแกว่งตัว
- อย่าลืมตั้ง Stop Loss และประเมินทุนให้ดี เพราะระบบเทรดนี้หากขาดทุน พอร์ตจะเสียหายหนัก
การเทรด Martingale ปกติแล้วจะเทรดด้วย EA เท่านั้น แต่ว่าวันนี้เรานำเสนอระบบที่ต่างออกไป เนื่องจากการเทรดแบบนี้นั้นเป็นระบบที่เรารู้ล่วงหน้าว่าจะเข้าเทรดที่ไหน ดังนั้น การส่งคำสั่งจึงสามารถส่งด้วยระบบ Manual ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ EA แต่อย่างใด
ระบบเทรดนี้ที่นำเสนอในวันนี้จะไม่ใช่ ระบบ Grid ซึ่งไม่มีความยืดหยุ่น แต่ระบบ Martingale ที่ดีต้องมีความผันแปรตามความผันผวนของราคา ซึ่งการออกแบบ แบบนี้ยังไม่ค่อยเห็นใครที่ใช้ระบบแบบนี้มากเท่าไหร่ เรามาดูรายละเอียดเนื้อหากันได้ในบทความนี้
สารบัญบทความ click เพื่อเลือกอ่าน !!
ทำความรู้จักกับ Martingale
ระบบเทรด Martingale คือ ระบบการเทรดแบบ “ถัวเฉลี่ย” ซึ่งเดิมทีเรามักจะนิยมใช้ EA เข้ามาเทรด อย่างไรก็ตาม การใช้ EA และการเทรดโดยใช้ “มือ” มีความแตกต่างกัน ข้อดีและข้อเสียหลัก ๆ ของการใช้ EA คือ
- ข้อดี คือ ทำงานแทนเราตลอดเวลาไม่หลับไม่นอน เท่านั้น
- ข้อเสีย คือ ทำงานเป็นหุ่นยนต์เงื่อนไขไม่ยืดหยุ่น และเถรตรงเกินไป
โดยที่ไม่ให้ความยืดหยุ่นกับสถานการณ์ สถานการณ์เทรนด์ต้องเทรดอีกแบบหนึ่ง สถานการณ์ Sideway ต้องเทรดอีกแบบหนึ่ง ขณะที่สถานการณ์การกราฟเคลื่อนไหวแรงก็ควรจัดการอีกแบบหนึ่ง ซึ่งการเทรด EA ก็จะเผชิญข้อจำกัดเหล่านี้
ในระบบนี้นี้นิยมนำมาเทรดมือเพราะมันใช้ได้จริง สามารถทำกำไรได้ อันที่จริงแล้ว ระบบเทรดใดก็สามารถทำกำไรได้ถ้าหากว่าเทรดเดอร์ สามารถทำตามเงื่อนไขที่ตัวเองกำหนดในการสร้างระบบเทรด แต่อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของการเทรดมือก็ยังมีข้อดีตรงที่ยืดหยุ่นกว่า EA นั่นแหละครับ
Indicator ที่ใช้คู่กับ Martingale
สำหรับ indicator ที่ใช้ในระบบเทรดนี้มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น นั่นคือ Bollinger Band ให้สัญญาณ นั่นเพราะว่า Bollinger Band นั้นสามารถปรับระดับความผันผวนได้แตกต่างกัน โดยระดับความผันผวนที่เราใส่เข้าไปจะทำให้ หน้าจอของเราปรากฏ Bollinger Band จำนวน 4-5 ตัวด้วยกัน มันคือระดับที่ใช้เพื่อการเข้าเทรด โดยสามารถดูได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
จากภาพจะเห็นว่าเกิดระดับราคาที่แตกต่างกันเนื่องจากการใส่ค่า Bollinger Band ที่แตกต่างกัน โดยการตั้งค่าที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
โดยค่าเริ่มต้นปกติของ Bollinger Band เท่ากับ Deviation 2 ในกราฟข้างต้น เราใส่เข้าไป 4 เส้นนั่นคือ Deviation 2, 3, 4 ,5 ตามลำดับ
เงื่อนไขการเข้าเทรด
สำหรับเงื่อนไขการเทรดนั้น การชนกรอบ Bollinger Band ด้านบน คือ การเคลื่อนไหวขึ้นนั้นจะส่งคำสั่ง Sell เพราะการเทรดเป็นแบบสวนเทรนด์นั่นเอง และเมื่อมันต่ำกว่าเส้น Band ล่างเราจะส่งคำสั่ง Buy ตามลำดับของเส้นดังต่อไปนี้
การใช้ Lot Martingale สมมุติว่า Lot แรกเท่ากับ 1 Lot Micro / Lot ที่ 2 เราจะทำการเพิ่มให้เป็นสัดส่วน 1.5 เท่า โดยไม่ถึง 2 เท่า ทำให้ Lot ถัด ๆ ไปเท่ากับ
- ไม้ที่ 1 --> Lot = 1
- ไม้ที่ 2 --> Lot = 1.5
- ไม้ที่ 3 --> Lot = 2.25
- ไม้ที่ 4 --> Lot = 3.37
อย่างไรก็ตาม การกำหนด Lot นั้นเทรดเดอร์สามารถกำหนด Lot ได้เองเลย
เทคนิคอื่นๆ เพิ่มเติมสำหรับการเทรด โดยเทรดเดอร์สามารถใช้การ Buy Limit หรือ Sell Limit ในการส่งคำสั่ง ทำให้ไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอและปล่อยให้มันทำงานอัตโนมัติได้เลย แต่ก็ต้องขยันในการปรับ Buy Limit และ Sell Limit เพราะว่า ราคาของเส้นนั้นเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา
เงื่อนไขการออกจากการเทรด
สำหรับเงื่อนไขของการออกจากการเทรด นั้นมี 2 แบบ คือ กรณีที่ “ขาดทุน” กับ “กรณีที่กำไร”
กรณีขาดทุน
- การไม่ใช้ Stop loss ซึ่งแน่นอนว่า การเบิ้ลทุกระยะจึงไม่ใช่คำตอบที่ดี การเพิ่มระยะให้มากขึ้นจึงอาจจะช่วยได้ กรณีที่ไม่ต้องตั้ง Stop loss โดยการเพิ่ม Bollinger Band จากเดิมที เราใช้ Deviation 2,3,4,5 เราอาจจะเปลี่ยนเป็น 2,4,6,8 เป็นต้น เนื่องจากราคาจะแตะเส้นเหล่านี้ยากมาก
Review Broker Forex
วิเคราะห์ วิจารย์ ข้อดี-ข้อเสีย ข้อมูลจากการเทรดด้วยบัญชีจริง โดยทีมงานหลายคน ...
- ปิดโดยการตั้ง Stop loss เช่น ชนไม้สุดท้ายแล้ว Cut loss หรือต่ำกว่านั้นอีก 10 จุดก็ทำได้เช่นกัน แต่ว่าเวลาขาดทุนจะขาดทุนจำนวนมาก
กรณีกำไร
สำหรับการทำกำไรนั้น เราสามารถตั้งกำไรได้ โดยตั้งเป็น % ของพอร์ตเรา เช่น ได้ 3 % ของพอร์ตเราจะปิดทำกำไรทั้งหมด หรือทำการลาก Take Profit ของแต่ละออเดอร์ที่เปิดไปไว้ที่ราคาคาดว่าจะเคลื่อนไหวไปถึง เป็นต้น
วิธีการลดความเสี่ยงในการใช้ Marigale
- กำหนด Stop Loss เพื่อควบคุมความเสี่ยง
- ใช้การวิเคราะห์กราฟและสถานการณ์ให้รอบคอบ เพื่อให้การตัดสินใจมีเหตุผลและใจเย็น
- ประเมินเงินทุนและมาร์จินของตัวเอง แล้วจึงปรับแผนการเทรดตามความเสี่ยง
จุดอ่อนของระบบ
จุดอ่อนของระบบนี้มีข้อเดียว แต่เป็นข้อที่สำคัญและส่งผลรุนแรงต่อพอร์ตเป็นอย่างมาก เนื่องจากการส่งแบบ Martingale ทำให้สร้างความเสียหายได้อย่างรุนแรงกรณีขาดทุน ดังนั้นนี่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่เทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเทรดนี้
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเทรดเดอร์สามารถบริหารจังหวะได้อย่างยอดเยี่ยมจะสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
สรุป
Marigale คือ วิธีการที่นิยมใช้ในการเทรด Forex ด้วยการเพิ่มขนาดการเทรดเมื่อเกิดความสูญเสีย มันช่วยให้คุณสามารถลดความเสี่ยงและทำกำไรได้ แต่ก็ต้องใช้เงินทุนมากขึ้นและมีความเสี่ยงหากไม่มีแผนการใช้งานที่ชัดเจน การใช้ Marigale ควรผสมผสานกับวิธีการอื่นๆ เพื่อทำกำไรอย่างยั่งยืนและควบคุมความเสี่ยงให้เหมาะสม
หากคุณเป็นผู้เริ่มต้นในการเทรด Forex ควรศึกษาความรู้เกี่ยวกับการเทรด Forex และ Marigale ให้มากขึ้น เพื่อเสียงให้ความเข้าใจ และเริ่มต้นด้วยการเทรดขนาดเล็ก (บัญชี micro หรือ cent) มีแผนการเทรดที่ชัดเจน และปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว
ทีมงาน: forexthai.in.th