การทำความรู้จักกับทฤษฎีคลื่น Elliott Wave จะช่วยให้ทำกำไรจาก Forex ได้ง่ายขึ้นเยอะ เพราะเป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีเทรดเดอร์ใช้ในการเทรดทุกระบบเลยก็ว่าได้ ซึ่งทฤษฎีคลื่น Elliott Wave คือ การระบุและอธิบายคลื่นต่าง ๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดซ้ำ ๆ ในระยะยาว ในตลาดการลงทุนทั่วไป
ทฤษฎี Elliott Wave ถูกคิดค้นขึ้นโดย Ralph Nelson Elliott ในช่วงทศวรรษ 1930 และได้รับการพัฒนาต่อโดย Robert Prechter ในช่วงทศวรรษ 1970
สารบัญบทความ click เพื่อเลือกอ่าน !!
โครงสร้างของคลื่น Elliott Wave
ตามทฤษฎีของคลื่น Elliott Wave การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการลงทุน สามารถแบ่งออกเป็นคลื่นย่อย ๆ ที่จำแนกออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
Primary Wave คลื่นหลัก:
คลื่นหลักเป็นคลื่นที่ใหญ่ที่สุดและใช้เวลานานที่สุด คลื่นหลักสามารถแบ่งออกเป็น 3 คลื่นย่อย ๆ ได้แก่
- Leading Wave (คลื่นนำ)
- Corrective Wave (คลื่นปรับฐาน)
- Second Leading Wave (คลื่นนำที่สอง)
Intermediate Wave คลื่นย่อย:
คลื่นย่อยเป็นคลื่นที่เล็กกว่าคลื่นหลัก คลื่นย่อยสามารถแบ่งออกเป็น 3 คลื่นย่อย ๆ ได้แก่
- Impulse Wave (คลื่นกระทุ้ง)
- Corrective Wave (คลื่นปรับฐาน)
- Second Impulse Wave (คลื่นกระทุ้งที่สอง)
Minor Wave คลื่นเล็กสุด:
Minor Wave เป็นคลื่นย่อยของคลื่นย่อยอีกที เป็นคลื่นที่เล็กที่สุด คลื่นย่อยย่อยสามารถแบ่งออกเป็น 3 คลื่นย่อย ๆ ได้แก่
- Impulse Wave (คลื่นกระทุ้ง)
- Corrective Wave (คลื่นปรับฐาน)
- Second Impulse Wave (คลื่นกระทุ้งที่สอง)
จะเห็นได้ว่าคลื่นแต่ละประเภทสามารถแบ่งออกเป็นสามคลื่นย่อย ๆ ได้อีก ทำให้เกิดรูปแบบคลื่นที่ซ้ำซ้อนกันที่เรียกว่า fractal ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถพบได้ในทุกสินทรัพย์ในตลาด Forex รวมถึงหุ้น ตราสารหนี้ และคริปโตเคอเรนซีด้วย
ข้อดีและข้อเสียของคลื่น Elliott Wave
ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave สามารถใช้เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของทิศทางราคาในอนาคตได้ โดยนักวิเคราะห์จะใช้รูปแบบคลื่นเพื่อระบุแนวโน้มของตลาดและจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม ในการใช้งานจะมีข้อดีและข้อเสียของคลื่น Elliott Wave ดังนี้
ข้อดีของการใช้ทฤษฎี Elliott Wave:
- สามารถช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น
- สามารถช่วยให้นักลงทุนระบุจุดเข้า-ออกที่เหมาะสมได้
- สามารถช่วยให้นักลงทุนลดความเสี่ยงในการลงทุนได้
ข้อเสียของการใช้ทฤษฎี Elliott Wave:
- ต้องใช้ทักษะและความรู้ในการตีความรูปแบบคลื่น
- รูปแบบคลื่นอาจไม่ชัดเจนเสมอไป
- ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จในการลงทุนได้
Motive Waves และ Corrective Waves คืออะไร
Motive Waves คือ รูปแบบ 5 คลื่นที่เคลื่อนไหวไปเป็นแนวโน้มหลัก และเมื่อวิ่งจบครบคลื่นที่ 5 ก็จะเปลี่ยนเป็น Corrective Waves คือรูปแบบ 3 คลื่น เพื่อพักตัวหรือเปลี่ยนแนวโน้ม
ทั้ง Motive Waves และ Corrective Waves “เป็นรูปแบบคลื่นหลัก (Primary Wave)” ตามทฤษฎี Elliott Wave ซึ่งทั้งสองแบบนี้จะเป็นโครงสร้างหลักของทฤษฎีนี้เลย
กฎของ Motive Waves รูปแบบ 5 คลื่น
รูปแบบคลื่น Motive Wave จะมีโครงสร้างที่เป็นส่วนประกอบ 5 คลื่น เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มใหญ่ โดยมีกฎ 3 ข้อ สำหรับ Motive Wave ดังนี้
- คลื่นที่ 2 จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 เสมอ ในแนวโน้มขาขึ้น และจะไม่วิ่งขึ้นไปสูงกว่าจุดเริ่มต้นเช่นกัน ในแนวโน้มขาลง
- คลื่นที่ 4 จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 เสมอ ในแนวโน้มขาขึ้น และจะไม่วิ่งขึ้นไปสูงกว่าคลื่นที่ 3 เช่นกัน ในแนวโน้มขาลง
- คลื่นที่ 3 จะเป็นคลื่นที่ไม่สั้นที่สุด จะยาวกว่าคลื่นที่ 1 หรือ 5 เสมอ เมื่อมีคลื่นหนึ่งคลื่นใดยาวที่สุด
โครงสร้างที่เป็นส่วนประกอบ 5 คลื่นของ Motive Wave นี้ จะเป็นทั้งโครงสร้างของภาพใหญ่และภาพเล็กที่อยู่ภายในย่อยลงไปเรื่อย ๆ เสมอ
กฎของ Corrective Waves รูปแบบ 3 คลื่น
Corrective Waves รูปแบบ 3 คลื่น คือรูปแบบการปรับฐานของแนวโน้มหลัก ประกอบด้วยการกำหนดว่าเป็นคลื่น A, คลื่น B, และคลื่น C กฎของ Corrective Waves รูปแบบ 3 คลื่น มีดังนี้
- คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน
- คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C
- คลื่น B สามารถเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักได้ แต่มักจะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C
ความแตกต่างระหว่าง Motive Wave และ Corrective Wave
Motive Wave และ Corrective Wave เป็น “สองประเภทของคลื่นหลักในการวิเคราะห์” คลื่นของ Elliott Wave
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Motive Wave และ Corrective Wave มีดังนี้
- ทิศทาง: Motive Wave เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก ในขณะที่ Corrective Wave เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
- ความยาว: Motive Wave มักจะมีความยาวมากกว่า Corrective Wave
- ความถี่: Motive Wave มักจะเกิดขึ้นน้อยกว่า Corrective Wave
Impulse Wave คืออะไร
Impulse Wave คือ คลื่นขยาย เป็นคลื่นหลักที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางเทรนด์แนวโน้มหลัก ประกอบด้วยคลื่น 1, คลื่น 3, และคลื่น 5 และกฎ 3 ข้อของ Impulse Wave จะมีดังนี้
- คลื่นย่อยของคลื่นใหญ่จะมีรูปแบบเดียวกัน
- คลื่นย่อยแต่ละคลื่นจะมีความยาวและแรงใกล้เคียงกัน
- คลื่นที่ 3 ของคลื่นขยายมักจะยาวที่สุด
รูปแบบคลื่นขยาย Impulse Waves
รูปแบบคลื่นขยาย Impulse Waves ยังสามารถแบ่งออกได้อีก โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบย่อย ได้แก่
- Normal Extension รูปแบบคลื่นขยายปกติ:
- คลื่นที่ 3 จะมีความยาวมากกว่าคลื่นที่ 1 และคลื่น 5 ประมาณ 50-61.8%
- Extended Extension รูปแบบคลื่นขยายส่วนเกิน:
- คลื่นที่ 3 จะมีความยาวมากกว่าคลื่นที่ 1 และคลื่น 5 มากกว่า 61.8%
การระบุรูปแบบ Impulse Waves
การระบุรูปแบบคลื่นขยาย Impulse Waves สามารถทำได้โดย “การวิเคราะห์ลักษณะของคลื่นย่อยแต่ละคลื่น” โดยคลื่นที่ 3 ควรมีความยาวมากกว่าคลื่นที่ 1 และคลื่น 5
ตัวอย่างรูปแบบ Extended Extension
- คลื่น 1 : 100
- คลื่น 2 : 20
- คลื่น 3 : 200
- คลื่น 4 : 38.2
- คลื่น 5 : 161.8
Diagonal Wave คืออะไร
Diagonal Wave คือ การพักตัวของราคาในแนวโน้มหลัก จะอยู่ในช่วงของคลื่นที่ 2 และ 4 ตามรูปแบบ Motive Wave เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวในลักษณะของการพักตัว Diagonal Wave ประกอบด้วยคลื่นย่อย 3 คลื่น ได้แก่
- Wave A: คลื่นแรกเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลง
- Wave B: คลื่นที่สองเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลง โดยมักจะสั้นกว่าคลื่น A
- Wave C: คลื่นที่สามเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลง โดยมักจะมีความยาวใกล้เคียงกับคลื่น A
Diagonal Wave และ Corrective Waves ต่างกันอย่างไร
Diagonal Wave และ Corrective Waves ต่างก็เป็นรูปแบบคลื่นหลักในการวิเคราะห์คลื่นของ Elliott Wave ที่มีการนับคลื่นแบบ ABC 3 คลื่น คล้าย ๆ กัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้
- ทิศทาง: Diagonal Wave เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก ในขณะที่ Corrective Wave เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
- ความยาว: Diagonal Wave มักจะมีความยาวใกล้เคียงกับคลื่นหลัก ในขณะที่ Corrective Wave มักจะมีความยาวสั้นกว่าคลื่นหลัก
- ความถี่: Diagonal Wave มักจะเกิดขึ้นน้อยกว่า Corrective Wave
คลื่นรูปแบบ Pennant เป็นอย่างไร
คลื่นรูปแบบ Pennant เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Diagonal Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับธง โดยประกอบด้วยคลื่นย่อย 3 คลื่น ได้แก่ คลื่น A, คลื่น B, และคลื่น C
- คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลง เป็นคลื่นเริ่มต้นของรูปแบบ
- คลื่น B: เป็นคลื่นต่อมาที่เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A และมีความยาวสั้นกว่าคลื่น A
- คลื่น C: เป็นคลื่นที่วิ่งไปในทิศทางเดียวกับคลื่น A และมีขนาดใกล้เคียงกับคลื่น A
คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Pennant
รูปแบบคลื่น Pennant มักมีอัตราส่วน 5-3-5 โดยคลื่น A = 5, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้
- คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน มีคลื่นภายใน 5 คลื่น เหมือนกัน
- คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C มีคลื่นภายใน 3 คลื่น
- คลื่น B จะแคบกว่าคลื่น A และคลื่น C
- คลื่น B จะสิ้นสุดที่เส้นแนวต้านหรือแนวรับของคลื่น A
การใช้งานคลื่นรูปแบบ Pennant
คลื่นรูปแบบ Pennant สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้
- หากคลื่น C ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
- หากคลื่น C สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง
นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Pennant ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Pennant ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว
คลื่นรูปแบบ Flags เป็นอย่างไร
คลื่นรูปแบบ Flags เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Diagonal Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับธง โดยประกอบด้วยคลื่นย่อย 3 คลื่น ได้แก่ คลื่น A, คลื่น B, และคลื่น C ดังนี้
- คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลงที่เริ่มต้นของรูปแบบ
- คลื่น B: เป็นคลื่นที่วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A และสั้นกว่าคลื่น A
- คลื่น C: เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับคลื่น A และมีขนาดใกล้เคียงกับคลื่น A
คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Flags
รูปแบบคลื่น Flags มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้
- คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน แต่คลื่นภายในของ A มีแค่ 3 ส่วนคลื่น C จะมี 5
- คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C และมีคลื่นภายใน 3 คลื่น เหมือน A
- คลื่น B จะแคบกว่าคลื่น A และคลื่น C
- คลื่น B จะสิ้นสุดที่เส้นแนวต้านหรือแนวรับของคลื่น A
การใช้งานคลื่นรูปแบบ Flags
คลื่นรูปแบบ Flags สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้
- หากคลื่น C ของรูปแบบ Flags ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
- หากคลื่น C สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง
นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Flags ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ โดยหากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Flags ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว
คลื่นรูปแบบ Zigzag เป็นอย่างไร
คลื่นรูปแบบ Zigzag เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Corrective Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน โดยคลื่นขาขึ้นจะสั้นกว่าคลื่นขาลง
- คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลงที่เป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบ
- คลื่น B: เป็นคลื่นที่วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A และมีความยาวสั้นกว่าคลื่น A
- คลื่น C: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลงที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับคลื่น A และมีขนาดใกล้เคียงกับคลื่น A
คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Zigzag
รูปแบบคลื่น Zigzag มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้
- คลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน
- คลื่น B จะสั้นกว่าคลื่น A และคลื่น C
- คลื่น B จะแคบกว่าคลื่น A และคลื่น C
- คลื่น B จะสิ้นสุดที่เส้นแนวต้านหรือแนวรับของคลื่น A
การใช้งานคลื่นรูปแบบ Zigzag
คลื่นรูปแบบ Zigzag สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้ โดย
- หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Zigzag ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
- หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Zigzag สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง
นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Zigzag ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ โดยหากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Zigzag ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว
คลื่นรูปแบบ Flat เป็นอย่างไร
คลื่นรูปแบบ Flat เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Corrective Wave รูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน โดยคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงจะมีความใกล้เคียงกัน
- คลื่น A: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นลงที่เริ่มรูปแบบ
- คลื่น B: เป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับคลื่น A
- คลื่น C: เป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลงที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับคลื่น A
คุณสมบัติของคลื่นรูปแบบ Flat
รูปแบบคลื่น Flat มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, คลื่น B = 3, คลื่น C = 5 ตามคุณสมบัติ ดังนี้
- คลื่น A คลื่น B และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน
- คลื่น A และคลื่น B จะมีคลื่นภายใน 3 คลื่นเหมือนกัน
- คลื่น C จะมีคลื่นภายใน 5 คลื่น
การใช้งานคลื่นรูปแบบ Flat
คลื่นรูปแบบ Flat สามารถใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้ โดย
- หากคลื่น C ของคลื่นรูปแบบ Flat ยาวกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดยังคงดำเนินต่อไป
- หากคลื่น C สั้นกว่าคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดกำลังอ่อนกำลังลง
นอกจากนี้ คลื่นรูปแบบ Flat ยังสามารถใช้ในการระบุจุดกลับตัวของเทรนด์ได้ โดยหากคลื่น C ย้อนกลับมากกว่า 50% ของคลื่น A แสดงว่าแนวโน้มของตลาดอาจกำลังกลับตัว
คลื่นรูปแบบ Triangle / Triangles เป็นอย่างไร
เป็นคลื่นปรับฐานที่เคลื่อนไหวเป็นคลื่นขาขึ้นหรือคลื่นขาลง โดย “คลื่นจะแคบลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ้นสุด”
คลื่นรูปแบบ Triangle เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Motive Wave และ Corrective Wave มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน
คลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles ต่างกันอย่างไร
คลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles ต่างก็เป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Elliott Wave รูปแบบหนึ่ง แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการ ดังนี้
แนวโน้ม:
- Triangles ของรูปแบบ Diagonal Wave เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก
- Triangle ของรูปแบบ Corrective Waves เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
อัตราส่วน:
- Triangles ของรูปแบบ Diagonal Wave มักมีอัตราส่วน 5-3-5 โดยคลื่น A = 5, B = 3, และ C จะเท่ากับ 5
- Triangle ของรูปแบบ Corrective Waves มักมีอัตราส่วน 3-3-5 โดยคลื่น A = 3, B = 3, และ C จะเท่ากับ 5
จุดสิ้นสุด:
- Triangles ของรูปแบบ Diagonal Wave จะสิ้นสุดที่จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของคลื่นหลัก
- Triangle ของรูปแบบ Corrective Waves จะสิ้นสุดที่จุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดของคลื่นย่อยก่อนหน้า
โดยสรุป
- คลื่นรูปแบบ Triangle เป็นรูปแบบคลื่นย่อยที่เฉพาะเจาะจงของ Elliott Wave ที่มีรูปแบบที่ชัดเจน และสามารถระบุได้ง่าย
- ในขณะที่ Triangles เป็นรูปแบบคลื่นย่อยที่กว้างกว่า โดยสามารถเป็นรูปแบบคลื่นย่อยของ Elliott Wave รูปแบบใดก็ได้ที่มีคลื่นย่อย 3 คลื่นที่มีความยาวใกล้เคียงกัน
Triangle และ Triangles มี 3 รูปแบบ
คลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles โดยรวมแล้วไม่ได้ต่างกัน หมายถึงเป็นรูปแบบคลื่นย่อยรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นคลื่นขาขึ้นและคลื่นขาลงสลับกัน สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
Ascending Triangle:
เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มขาขึ้น โดยคลื่น A และคลื่น C จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน และคลื่น B จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
Descending Triangle:
เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มขาลง โดยคลื่น A และคลื่น C จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกัน และคลื่น B จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก
Symmetrical Triangle:
เป็นคลื่นรูปแบบ Triangle ที่มีแนวโน้มไม่ชัดเจน โดยคลื่น A และคลื่น C จะมีความยาวใกล้เคียงกัน และคลื่น B จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก
การใช้งานคลื่นรูปแบบ Triangle และ Triangles
ในการเทรดด้วย Triangle และ Triangles สามารถใช้การวัดเป้าหมายของคลื่นได้ โดยใช้สูตรวัดเป้าหมายของคลื่น Elliott Wave โดยอาศัยความยาวของคลื่น A เป็นฐาน ดังนี้
เป้าหมาย = ความยาวของคลื่น A * 1.618
ตัวอย่างเช่น หากคลื่น A ของคลื่นรูปแบบ Triangle มีความยาว 100 จุด เป้าหมายของคลื่นรูปแบบ Triangle จะอยู่ที่ 161.8 จุด
อย่างไรก็ตาม การวัดเป้าหมายของคลื่นรูปแบบ Triangle เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น นักลงทุนควรใช้เครื่องมืออื่น ๆ ร่วมกับการวัดเป้าหมายของคลื่นรูปแบบ Triangle เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ทีมงาน Forexthai.in.th