Forexthai.in.th ย่อให้

  • แนวคิดหลักของระบบ: ใช้การผสมผสานระหว่างการดู Divergence จาก RSI และรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Engulfing, Pin Bar) เพื่อหาจุดกลับตัวของราคาอย่างแม่นยำบนกรอบเวลา H1
  • หลักการเข้าเทรด: ต้องมี Divergence ที่ชัดเจนร่วมกับแท่งเทียนกลับตัว และควรเกิดบริเวณแนวรับแนวต้านสำคัญ พร้อมมีโครงสร้างราคา (Higher Low / Lower High) ยืนยัน
  • การอ่าน Divergence อย่างมืออาชีพ: แยกประเภท Divergence (Regular / Hidden) วิเคราะห์ควบคู่กับเทรนด์และจุดสวิงจริง
  • รูปแบบแท่งเทียนที่ใช้ยืนยันสัญญาณ: ใช้ Engulfing และ Pin Bar ที่มีลักษณะตามเงื่อนไขเฉพาะ 
  • ข้อควรระวังของระบบ: ระวัง Divergence ซ้อน, ข่าวแรงทำให้ SL โดนง่าย, และแท่งเทียนหลอกจากความผันผวนต่ำหรือการไล่ล่าจากเจ้ามือ (Stop Hunt)

ระบบเทรด Easy H1 Trading ช่วยให้ทำกำไรได้ทุกชั่วโมงด้วย Divergence และ แท่งเทียน

ระบบเทรด EASY H1 trading เป็นวิธีการเทรดในตลาด Forex ด้วย divergence และรูปแบบแท่งเทียน เป็นระบบที่เข้าใจง่าย นำไปใช้เทรดได้จริง อีกทั้งมีประสิทธิภาพสูงมากด้วย ขอบอกได้เลยว่าเทรดเดอร์ท่านใดที่ยังไม่มีระบบเทรดใช้ สามารถเลือกเอาระบบนี้ไปใช้ได้เลย ไปดูรายละเอียดกันครับ


ข้อมูลเบื้องต้น

แนวคิดหลักของระบบนี้พัฒนาเพื่อให้ เทรดง่าย เข้าใจไม่ซับซ้อน และใช้ “จุดกลับตัวที่แม่นยำ” เป็นหัวใจหลัก โดยอาศัย 2 เครื่องมือผสมผสานกันคือ:

  • การดูสัญญาณแท่งเทียนกลับตัว: โดยพิจารณาจากแท่งเทียนประเภท Engulfing และ Pin Bar
  • การดู Divergence ด้วย RSI: เพื่อยืนยันว่าราคาเริ่มอ่อนแรงและมีโอกาสกลับตัว
องค์ประกอบหลักของระบบเทรด EASY H1
องค์ประกอบของระบบเทรด Easy H1 Trading

องค์ประกอบของระบบ

  1. กรอบเวลา:

เทรดบน H1 (1 ชั่วโมง) เป็นหลัก เพื่อให้ได้ความถี่การเทรดกำลังดี ไม่ถี่เกินไปเหมือน M5/M15 และไม่ช้าเกินไปเหมือน H4

  1. อินดิเคเตอร์ที่ใช้:

RSI (Relative Strength Index) ตั้งค่า 14 ปกติ เพื่อดู Overbought/Oversold ที่ 70/30 แต่ไม่ได้จำเป็นต้องรอถึง 70 หรือ 30 เท่านั้น

  1. รูปแบบแท่งเทียนที่มองหา:

แท่งเทียนกลืนกินแบบ Engulfing และแท่งเทียนหางยาวที่แสดงถึงการปฏิเสธราคาอย่าง Pin Bar

  1. หลักการเข้าเทรด:

ให้มองหาสัญญาณ Divergence ก่อน แล้ว รอแท่งเทียนกลับตัวมายืนยันอีกทีหนึ่ง จึงค่อยเข้าออเดอร์ตามสัญญาณที่ได้

ข้อดีของระบบ

  • เป็นระบบที่ใช้ Price Action ผสมกับเครื่องมือยืนยัน ช่วยลด False Signal ได้ดี
  • เทรดง่าย ๆ ด้วยสายตาก็ได้ ไม่ต้องมีอินดิเคเตอร์เยอะแยะให้ยุ่งยาก
  • เหมาะสำหรับคนที่ชอบ ตั้งระบบเทรดแบบกึ่งรอ และไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา
  • มีความยืดหยุ่น สามารถนำไปปรับใช้กับหลายคู่เงินได้

เครื่องมือที่ใช้

RSI เพื่อดู Divergence

วิธีอ่าน Divergence แบบมืออาชีพ มีหลักการละเอียดมากกว่าการดูแค่ว่า “ราคาไม่ตรงกับ RSI” เท่านั้น ถ้าอยากอ่านให้แม่นเหมือนมืออาชีพ ต้องรู้ลึกกว่านั้นนิดนึง ผมขอสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ เป็นขั้นตอนแบบนี้ครับ:

การใช้ RSI ในการวิเคราะห์รูปแบบ Divergence
การใช้เครื่องมือ RSI ในการดู Divergence
  1. ต้องเข้าใจก่อนว่ามี 2 ประเภทหลักของ Divergence คือ
    • Regular Divergence ใช้เพื่อหา “จุดกลับตัวของแนวโน้ม” ตัวอย่างเช่น:
      • ราคาทำ New High แต่ RSI ทำ High ต่ำลง (Bearish Regular Divergence) รูปแบบนี้ให้เตรียมหาจุดขาย
      • ราคาทำ New Low แต่ RSI ทำ Low สูงขึ้น (Bullish Regular Divergence) รูปแบบนี้ให้เตรียมหาจุดซื้อ
    • Hidden Divergence ใช้เพื่อหา “จุดต่อเนื่องของแนวโน้ม” ตัวอย่างเช่น:
      • ราคาทำ Low สูงขึ้น แต่ RSI ทำ Low ต่ำลง (Hidden Bullish) เทรนด์ขาขึ้นน่าจะไปต่อ
      • ราคาทำ High ต่ำลง แต่ RSI ทำ High สูงขึ้น (Hidden Bearish) เทรนด์ขาลงน่าจะไปต่อ
  1. อ่าน Divergence ต้องดู “โครงสร้างราคา” ประกอบ มืออาชีพจะไม่ดูแต่ RSI อย่างเดียว ต้องดูด้วยว่า “ตอนนี้ราคาอยู่ในเทรนด์แบบไหน?”
    • ถ้าอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น: เจอ Bearish Regular Divergence มีโอกาสจบขาขึ้น
    • ถ้าอยู่ในเทรนด์ลง: เจอ Bullish Regular Divergence มีโอกาสจบขาลง
    • แต่ถ้ายังไม่มีเทรนด์ชัด (sideway กว้าง ๆ) Divergence จะไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์ ต้องระวัง!
  1. “จุดที่เชื่อถือได้” คือบริเวณแนวรับแนวต้าน
    • Divergence ที่เกิดใกล้ แนวรับแนวต้านสำคัญ จะมีน้ำหนักมากกว่า Divergence ที่เกิดกลางอากาศ
    • ยิ่ง Divergence เกิดอยู่ที่แนวรับแนวต้าน บวกกับมีแท่งเทียนกลับตัวชัดเจน ความแม่นยำจะพุ่งสูงมาก
  1. ต้องใช้ “Swing High – Swing Low” ช่วยวิเคราะห์ การดู Divergence ที่แม่นที่สุดต้องดูจาก สวิงจริง (ไม่ใช่ดูแค่ปลายแท่งเล็ก ๆ) คือ
    • ดูจากยอดของสวิง High หรือสวิง Low สำคัญ ๆ
    • ถ้าราคาทำ New Swing ไม่ว่าจะ High หรือ Low แต่ RSI ไม่ทำตาม ถึงจะถือเป็น Divergence ของจริง
    • อย่าไปนับปลายหางเล็ก ๆ เพราะมันมักจะหลอก!
  1. สรุปเช็กลิสต์ก่อนเข้าเทรดด้วย Divergence ดังนี้
    • Divergence ชัด (ไม่ต้องจินตนาการเยอะ)
    • มีโครงสร้างเทรนด์ประกอบ
    • อยู่ใกล้แนวรับแนวต้าน
    • มีสัญญาณแท่งเทียนยืนยัน (เช่น Engulfing, Pin Bar)
    • มีจุดวาง SL ที่เหมาะสม (หลัง High/Low ล่าสุด)

ทริคเล็ก ๆ จากประสบการณ์

  • อย่ารีบเข้า Divergence แรกที่เห็น ให้รอสัญญาณ “แท่งเทียนกลับตัว” เพื่อคอนเฟิร์มก่อนเสมอ
  • ยิ่ง Divergence ที่เกิดหลังจากมี “เทรนด์ยาว” มานาน โอกาสกลับตัวสูงกว่า Divergence ในเทรนด์สั้น ๆ
  • ถ้า RSI อยู่ระดับ Extreme Zone (ใกล้ 30 หรือ 70) ตอนเกิด Divergence ความน่าเชื่อถือยิ่งเพิ่มขึ้น
รูปแบบแท่งเทียนสำคัญที่ใช้ในระบบเทรด EASY H1
รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ ที่มักเกิดขึ้นและมีความหมายต่อแนวโน้มของราคา

รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ

ต่อไปจะขอแสดงถึงรูปแบบแท่งเทียนที่ “เน้นใช้งานจริง” สำหรับ Engulfing และ Pin Bar ว่ารูปแบบไหนที่เกิดบ่อย  รูปแบบไหนที่ “แม่น” และมีนัยสำคัญในการดูแนวโน้ม และ “อ่านยังไง” ให้ได้เปรียบเวลาเทรดนะครับ

1. Engulfing (แท่งเทียนกลืนกิน)

นิยาม: คือแท่งเทียนที่ตัวแท่ง (Body) ของมัน “กลืน” ตัวแท่งก่อนหน้าอย่างชัดเจน มีทั้ง

  • Bullish Engulfing (สัญญาณกลับตัวขึ้น)
  • Bearish Engulfing (สัญญาณกลับตัวลง)

รูปแบบที่แม่นยำมาก:

  • มักจะเกิดหลังจากการย่อหรือเด้งในแนวโน้มใหญ่ เช่น
    • ราคาอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น แล้วเกิด Bullish Engulfing หลังการย่อ
    • ราคาอยู่ในเทรนด์ขาลง แล้วเกิด Bearish Engulfing หลังการดีดตัว
  • แท่งกลืนกินต้องมีขนาดใหญ่ และควร “ปิด” ใกล้สุดปลายแท่ง
    • ถ้าเปิดต่ำ ปิดสูง = Bullish อย่างแท้จริง: ราคาเป็นเทรนด์ขาขึ้นแล้วมีการย่อลงมาเล็กน้อย เจอแท่ง Bullish Engulfing ราคามีโอกาสดีดขึ้นต่อ
    • ถ้าเปิดสูง ปิดต่ำ = Bearish อย่างแท้จริง: ราคาเป็นเทรนด์ขาลงแล้วมีการดีดขึ้นเล็กน้อย เจอแท่ง Bearish Engulfing ราคามีโอกาสร่วงต่อ

2. Pin Bar (หางยาว แสดงการปฏิเสธราคา)

นิยาม:  คือแท่งเทียนที่มี “หางยาว” และ “ตัวแท่งสั้น” (Body เล็กมาก)

  • ถ้าเป็น Pin Bar หางล่างยาว เป็นการบ่งบอกว่าผู้ซื้อปฏิเสธราคาต่ำ (Bullish Pin Bar)
  • ถ้าเป็น Pin Bar หางบนยาว เป็นการบ่งบอกว่าผู้ขายปฏิเสธราคาสูง (Bearish Pin Bar)
รูปแบบแท่งเทียนที่แม่นยำ หากเกิดขึ้นที่แนวรับหรือแนวต้านมักจะมีผลต่อราคา

รูปแบบที่แม่นยำมาก:

  • มักจะเกิดที่แนวรับแนวหรือต้านสำคัญ: เช่น
    • เจอ Bullish Pin Bar ที่แนวรับ มีโอกาสดีดขึ้นสูง
    • เจอ Bearish Pin Bar ที่แนวต้าน มีโอกาสร่วงลงได้
  • หางควรยาวอย่างน้อย 2-3 เท่าของตัว Body และ Body ควรอยู่ปลายอีกด้าน (บนหรือล่าง): ราคาเป็นเทรนด์ขาขึ้น เจอ Bearish Pin Bar ที่แนวต้านสำคัญ โอกาสกลับตัวลงสูง
  • Volume หรือ Volatility ตอนเกิด Pin Bar ควรเพิ่มขึ้น (บอกแรงปฏิเสธแข็งแรง): ราคาเป็นเทรนด์ขาลง เจอ Bullish Pin Bar ที่แนวรับสำคัญ โอกาสกลับตัวขึ้นสูง

เงื่อนไขเข้าเทรด (Entry Conditions)

เงื่อนไขในการเข้าเทรดแบบ Buy (Long Position)

Buy (Long Position)

  1. ตรวจสอบ Divergence:

เกิด Bullish Regular Divergence ระหว่างราคาและ RSI โดยที่ราคาทำ New Low แต่ RSI ทำ Low สูงขึ้น

  1. ยืนยันด้วยแท่งเทียนกลับตัว:

เจอ Bullish Engulfing แท่งเขียวกลืนแท่งแดงก่อนหน้าหรือ Bullish Pin Bar หางล่างยาว, ตัวแท่งอยู่ด้านบน

  1. ตำแหน่งที่เกิด:

จะเป็นการดีกว่าถ้าเกิดใกล้ แนวรับสำคัญ (Support) หรือแนวโซน Demand

  1. เงื่อนไขเสริม:

RSI ควรอยู่ใกล้ Oversold Zone (ต่ำกว่า 40) และมีโครงสร้างราคาเกิด Higher Low ยืนยัน

  1. การเข้าออเดอร์:

เข้า Buy ทันทีที่แท่งยืนยันปิด (ปิดแท่งเทียนยืนยัน) หรือถ้าระมัดระวังก็รอราคากลับมาย่อเล็กน้อย (Retracement) แล้วค่อย Buy ก็ได้

เงื่อนไขในการเข้าเทรดแบบ Sell (Short Position)

Sell (Short Position)

  1. ตรวจสอบ Divergence:

เกิด Bearish Regular Divergence ระหว่างราคาและ RSI โดยที่ราคาทำ New High แต่ RSI ทำ High ต่ำลง

  1. ยืนยันด้วยแท่งเทียนกลับตัว:

เจอ Bearish Engulfing แท่งแดงกลืนแท่งเขียวก่อนหน้าหรือ Bearish Pin Bar หางบนยาว, ตัวแท่งอยู่ด้านล่าง

  1. ตำแหน่งที่เกิด:

จะเป็นการดีกว่าถ้าเกิดใกล้ แนวต้านสำคัญ (Resistance) หรือโซน Supply

  1. เงื่อนไขเสริม:

RSI ควรอยู่ใกล้ Overbought Zone (สูงกว่า 60) และมีโครงสร้างราคาเกิด Lower High ยืนยัน

  1. การเข้าออเดอร์:

เข้า Sell ทันทีที่แท่งยืนยันปิด (ปิดแท่งเทียนยืนยัน) หรือรอย่อกลับขึ้นไปนิดนึงแล้ว Sell ที่ราคาดีกว่าก็ได้เช่นกัน

เงื่อนไขออกเทรด (Exit Conditions)

  • การตั้ง Stop Loss (SL): ตั้งไว้หลังจุด High (สำหรับ Sell) หรือ Low (สำหรับ Buy) ล่าสุด จะต้องวางเผื่อ Buffer เล็กน้อย เช่น 5-10 pips เป็นต้น
  • การตั้ง Take Profit (TP) สามารถเลือกทำได้ 3 วิธี คือ:
    1. ตั้งตาม Risk:Reward Ratio ไม้ธรรมดา ใช้ RR อย่างน้อย 1:2 หรือ 1:3 (เช่น เสี่ยง 30 pips เพื่อหวัง 60-90 pips)
    2. ตั้งตามโครงสร้างตลาด
      • TP แรก: ตรงแนวรับแนวต้านถัดไป
      • TP ถัดไป: ใช้เทรนด์ไลน์ / Fibo Projection หาเป้าหมายเพิ่มเติม
    3. ปิดแบบแบ่งไม้ Partial Close: เช่น ปิดครึ่งนึงที่ TP1 แล้วปล่อยครึ่งนึงลากยาว
ขั้นตอนการเทรดตามระบบ EASY H1 Trading
Flow สำหรับการเทรดแบบมืออาชีพ ช่วยให้เทรดอย่างมีระบบ

Flow การเทรดแบบมืออาชีพ

  • เช็ก Divergence กับ RSI ก่อน
  • รอแท่งเทียนกลับตัว (Engulfing / Pin Bar) ยืนยัน
  • ดูตำแหน่งให้ดี (แนวรับแนวต้าน)
  • ตั้ง SL/TP ชัดเจน
  • จัดการบริหารเงิน (Risk ไม่เกิน 1-2% ต่อไม้)

จุดอ่อนของระบบ

สำหรับระบบ EASY H1 Trading ที่เทรดด้วย Divergence และแท่งเทียนนี้ จุดอ่อนและข้อควรระวังที่คุณต้องใส่ใจคือ:

  1. Divergence ซ้อน Divergence

ในบางจังหวะ RSI อาจแสดง Divergence หลายรอบซ้อนกันจนทำให้ “หลงทิศ” ได้ง่าย โดยเฉพาะ Divergence เล็ก ๆ ในจังหวะพักฐาน

  1. Stop Loss โดนง่ายช่วงข่าวแรง (High Volatility)

เวลาข่าวแรง เช่น NFP, CPI, FOMC ราคามักจะเหวี่ยงผิดปกติ ถึงแม้จะเจอสัญญาณสวย แต่อาจโดนลาก SL ง่าย ๆ ได้เช่นกัน

  1. ไส้เทียนหลอก (False Pin Bar / Fake Engulfing)

บางแท่งแม้จะดูเหมือน Pin Bar หรือ Engulfing แต่เกิดจาก Volume ต่ำ หรือโดนจ้าวหลอก (stop hunt) ก็ได้

สรุป

ระบบเทรด EASY H1 Trading เป็นระบบที่ออกแบบมาให้เข้าใจง่ายและใช้งานได้จริง โดยเน้นการหาจุดกลับตัวของราคาผ่านการวิเคราะห์ Divergence จาก RSI ร่วมกับรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เช่น Engulfing และ Pin Bar บนกรอบเวลา H1

ระบบนี้ ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง จึงมีวิธีตั้ง SL และ TP ที่ชัดเจน ตามอัตราส่วนความเสี่ยงหรือโครงสร้างตลาด จุดอ่อนที่ควรระวังคือการเกิด Divergence ซ้อนซึ่งอาจทำให้หลงทิศ และแท่งเทียนหลอกจากเจ้ามือ แต่โดยรวมแล้วยังสามารถป้องกันได้ง่ายด้วยการเทรดตามระบบ แล้วระบบเทรดจะพาทำกำไรให้เอง

ทีมงาน: forexthai.in.th

แสดงข้อคิดเห็น ให้กำลังใจ

comments

สารบัญบทความ