Forexthai.in.th ย่อให้
- Dow Theory ถือเป็นหัวใจของการวิเคราะห์เทรนด์ที่ทรงอิทธิพลที่สุด ช่วยให้เข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาผ่านเทรนด์ 3 ระดับ คือ Primary, Intermediate และ Minor
- หลักการมองเทรนด์อยู่ที่การวิเคราะห์ Higher Highs/Lows สำหรับขาขึ้น และ Lower Lows/Highs สำหรับขาลง โดยต้องสังเกตการเบรกจุดสำคัญและระยะห่างของแต่ละจุด
- จุด Swing สำคัญมักเกิดเมื่อขาใหญ่เข้าเทรด สังเกตได้จาก Volume สูง การเคลื่อนไหวแรง และการรักษาโซนราคา ซึ่งจะดึงดูดให้เทรดเดอร์อื่นเข้าตาม
- แม้เป็นทฤษฎีที่เชื่อถือได้ แต่เมื่อเทรนด์ชัดเจนเกินไป อาจเป็นจังหวะที่ขาใหญ่เข้าสวนทาง จึงต้องเข้าใจทั้งทฤษฎีและจังหวะการเข้า-ออกของตลาด
ทฤษฎีดาว หรือ Dow Theory น่าจะเป็นหลักการเทรดที่มีอิทธิพลต่อเทรดเดอร์มากที่สุด เพราะเรื่องของเทรนด์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคา ไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดตามเทรนด์หรือสวนเทรนด์ ทฤษฎีนี้จะช่วยให้คุณเห็นโอกาสในการเทรดได้ชัดเจนขึ้น
เทรนด์ตามหลักการ Dow Theory
ทฤษฎีดาว แบ่งการกำหนดเทรนด์ ออกเป็น 3 ระดับ คือ
- Primary Trend (เทรนด์หลักหรือแนวโน้มใหญ่) จะมองจากกราฟรายวันเป็นหลักในระยะเวลา 200 วันขึ้นไป
- Intermediate Trend (เทรนด์แนวโน้มระยะกลาง) จะมองการเคลื่อนไหวตั้งแต่ 3 สัปดาห์ถึงหลายเดือน
- Minor Trend (เทรนด์ระยะสั้น) จะเห็นการมองเทรนด์ที่เป็นวัน ในกรอบวันไม่เกิน 3 สัปดาห์
หลักการมองเทรนด์
หากจำได้เรื่องการพัฒนาของ swing highs/lows จะเห็นว่าได้รับอิทธิพลมาจากทฤษฎีดาวนี้ การกำหนดเทรนด์ขาขึ้นจะเกิดขึ้นเมื่อเห็น Higher Highs ตามด้วย Higher Lows ทำเป็นขั้นบันไดขึ้นไป โดยราคาต้องเบรก High ก่อนหน้าได้ และเมื่อย่อตัวลงมาต้องไม่หลุด Low ก่อนหน้า
ในทางกลับกัน เทรนด์ขาลงจะเกิดเมื่อราคาทำ Lower Lows ตามด้วย Lower Highs อย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือต้องเห็นการเบรก Low และ High ที่ตามมาต้องไม่สูงกว่า High ก่อนหน้า ทำเป็นวัฏจักรแบบนี้ไปตามระยะเวลาของเทรนด์ที่เรามอง
หลักการ Dow Theory กำหนด Bull Market และ Bear Market
การแบ่งตลาดตามเทรนด์มี 2 ประเภทคือ Bull Market และ Bear Market โดย Bull Market หรือตลาดกระทิง จะเกิดขึ้นเมื่อราคายังสามารถทำ Higher Highs ตามด้วย Higher Lows ได้อย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อราคาไม่สามารถทำ Higher High ได้และตามด้วย Lower Low พร้อมกับการเบรก Low ก่อนหน้า ก็จะกลายเป็น Bear Market หรือตลาดหมีทันที (ในกรอบสีแดงจะเห็นว่าราคาทำ Lower High ได้ก่อน Lower Low เลยกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นเทรนด์ขาลงที่วงกลมด้านล่าง)
นอกจากนี้ ทฤษฎีดาวยังแบ่งช่วงของตลาดออกเป็นช่วง ๆ อีก แต่ผมจะขออธิบายแบบสั้น ๆ ดังนี้ครับ
Bull Market แบ่งเป็น 3 ช่วง:
- Accumulation (ช่วงสะสม): ขาใหญ่เริ่มทยอยซื้อสะสม ราคามักแกว่งตัวออกข้างในกรอบแคบๆ รายย่อยยังไม่ค่อยสนใจ
- Participation (ช่วงเข้าร่วม): ราคาเริ่มวิ่งแรงขึ้น มีข่าวดีออกมาหนุน รายย่อยเริ่มเข้ามาเทรดตาม Volume สูงขึ้นชัดเจน
- Excess (ช่วงเกินพอดี): ราคาพุ่งขึ้นเร็วผิดปกติ เริ่มเห็นการเก็งกำไรรุนแรง ควรระวังการเปลี่ยนเทรนด์
Bear Market แบ่งเป็น 3 ช่วง:
- Distribution (ช่วงกระจาย): ขาใหญ่เริ่มทยอยขายทำกำไร ราคาแกว่งตัวผันผวนมากขึ้น Volume เริ่มลดลง
- Participation (ช่วงร่วมขาย): ราคาเริ่มร่วงแรง ข่าวร้ายออกมาซ้ำ นักลงทุนตื่นตระหนกขายตาม Volume กลับมาสูง
- Panic (ช่วงตื่นตระหนก): เกิดการขายทิ้งแบบไม่สนราคา ราคาดิ่งลงรุนแรง แต่เป็นโอกาสดีสำหรับขาใหญ่ที่จะกลับมาสะสม
ส่วนสำคัญของจุด swing ในทฤษฏีดาว

จุด swing ที่สำคัญมักเกิดในช่วงที่ “ขาใหญ่เข้ามาเทรด” โดยเฉพาะช่วงที่สวนเทรนด์ เพราะขาใหญ่มักเทรดด้วยวอลลุ่มที่สูงพอจะผลักดันราคาไปในทิศทางที่ต้องการได้ ซึ่งเป็นช่วงที่รายย่อยส่วนใหญ่ยังไม่กล้าเข้าเพราะกลัวสวนเทรนด์ สิ่งสำคัญที่พวกรายใหญ่จะดูคือ ต้องมีออเดอร์ตรงข้ามในราคานั้นมากพอ จึงจะเปิดเทรด
ตัวอย่างภาพด้านบน การสังเกตจุดที่รายใหญ่เข้าเทรด:
- ราคาเริ่มวิ่งแรงขึ้น ทำ Higher High ได้
- มี momentum ชัดเจนจาก volume ที่สูง แม้ราคาย่อลงมา ก็ไม่หลุด Low เดิม
- เกิดแรงซื้อขายหลายระลอกต่อเนื่อง
ขาใหญ่มักจะเทรดเป็นโซนๆ ไม่ได้เทรดทุกราคา โดยจะปล่อยให้รายย่อยช่วยดันราคาต่อ และจะพยายามรักษาโซนที่เข้าเทรดไว้ เพราะโครงสร้างราคาที่เกิดขึ้นจะส่งข้อมูลใหม่ให้ตลาด ทำให้เทรดเดอร์ที่รอดูท่าทีเริ่มเห็นทิศทางที่จะเข้าเทรด
บทความแนะนำสำหรับผู้เริ่มเทรด Forex 
จะเห็นว่าในช่วง participation phase หรือช่วงที่ 2 ของแต่ละตลาด ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ก็สามารถทำให้ราคาวิ่งแรงๆ ได้ เพราะทั้งเทรดเดอร์ที่รอเข้าและที่ถือ positions อยู่ในตลาดต่างได้รับข้อมูลการเคลื่อนไหวนี้
สิ่งที่ต้องดูเพิ่มเติมคือ ความต่อเนื่องของ swing highs/lows ที่เกิดขึ้นตามมา Higher High ต้องมากกว่า High เก่ามากพอ ไม่ใช่แค่ขึ้นมานิดหน่อย และ Higher Low ก็เช่นกัน ถ้าระยะห่างระหว่าง Higher High และ Higher Low ที่ตามมาแคบลง นั่นเป็นสัญญาณว่าเทรดเดอร์ที่อยากเปิด market orders ในทิศทางนั้นเริ่มน้อยลง
เมื่อราคาเริ่มขยับตามที่ขาใหญ่ต้องการ ก็จะเกิดแรงดึงดูดให้เทรดเดอร์คนอื่นเข้าตาม โดยเฉพาะในจังหวะที่ Higher Low แรกทำงานได้ดี เพราะมันแสดงให้เห็นว่าแรงซื้อยังแข็งแกร่งพอที่จะดันราคาขึ้นต่อได้ จนในที่สุดโครงสร้างราคาก็จะเริ่มเปลี่ยนทิศทาง และเทรนด์ใหม่ก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น
ข้อเสียจากการเทรดตาม Dow Theory
การเทรดตามเทรนด์ที่เห็นชัดเจนอาจเป็น “ดาบสองคม” เพราะเมื่อเทรนด์ชัดเจนเกินไป ผมเห็น คุณเห็น ก็ทำให้เกิดการเข้าเทรดตามกันมากเกินไป โดยเฉพาะในช่วง participation phase หรือช่วง Big move ขาใหญ่มักใช้จังหวะนี้เข้าสวนเทรนด์ เพราะมีออเดอร์ตรงข้ามให้จับคู่มากพอ
เมื่อขาใหญ่เปิดเทรดด้วยวอลลุ่มสูง พวกเขาจะเทรดเป็นโซนและพยายามรักษาโซนนั้นไว้ เพราะ price structure ที่เกิดขึ้นจะกดดันให้เทรดเดอร์ที่เทรดตรงข้ามกลายเป็น trapped traders ต้องรีบออกเพื่อจำกัดความเสียหาย การออกของ trapped traders จะกลายเป็น market orders ที่ช่วยดันราคาไปในทิศทางที่ขาใหญ่ต้องการ ตามด้วยเทรดเดอร์รายใหม่ที่เห็นทิศทางชัดเจนเข้ามาเทรดตาม

Review Broker Forex
วิเคราะห์ วิจารย์ ข้อดี-ข้อเสีย ข้อมูลจากการเทรดด้วยบัญชีจริง โดยทีมงานหลายคน ...
สรุป
Dow Theory เป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อเทรดเดอร์มากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง เป็นหัวใจและรากฐานของการดูเทรนด์ตลาด และเข้าใจวงจรของตลาดทั้งขาขึ้น (Bull Market) และขาลง (Bear Market)
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเทรนด์ชัดเจนจนรายย่อยเทรดตามกันเยอะ มักเป็นจังหวะที่ขาใหญ่จะเข้าสวน โดยอาศัยว่ามีออเดอร์ตรงข้ามมากพอให้เทรดได้ และใช้กลไกของ trapped traders ที่ต้องรีบออกตลาดเมื่อขาดทุน มาเป็นแรงดันราคาในทิศทางที่ต้องการ
ดังนั้นการเทรดให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่รู้ว่าเทรนด์เป็นอย่างไร แต่ต้องเข้าใจจังหวะการเข้า-ออกของขาใหญ่ และการทำงานของออเดอร์ในตลาดด้วย

Nakrob Seareechon
บรรณาธิการ/Web master
ปริญญาโทเศรษฐศาสตร์การเงิน พัฒนาระบบเทรดอัตโนมัติและพัฒนาเว็บไซต์ควบคู่การเทรดด้วยตนเอง
อ่านประวัติเพิ่มเติม
Krisorn Himmapan
Content Writer
ประสบการณ์เทรด Forex 12+ ปี จากพนักงานบริษัทสู่เทรดเดอร์อาชีพ เน้นกลยุทธ์ Long-term Trading
อ่านประวัติเพิ่มเติมทีมงาน: forexthai.in.th