Forexthai.in.th ย่อให้
- แนวคิดหลักของระบบ: เป็นระบบเทรดที่ใช้การสะสมออเดอร์ในแนวโน้มใหญ่ (Trend Following) เพื่อให้กำไรเติบโตแบบทบต้น โดยปล่อยให้ตลาดทำงานแทน
- หลักการเข้าเทรด: เปิดออเดอร์ตามเทรนด์เมื่อมีสัญญาณเข้าใหม่ และใช้ Stop Loss กว้างเพื่อให้ราคามีพื้นที่เคลื่อนไหว
- การบริหารความเสี่ยง: ใช้การแบ่งไม้ (Scaling In) และการจัดการขนาดออเดอร์ให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงจากการแกว่งตัวของราคา
- จุดแข็งของระบบ: ใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของตลาดระยะยาว ไม่ต้องคาดเดาตลาดบ่อย และช่วยให้พอร์ตเติบโตแบบทวีคูณ
- ข้อจำกัดของระบบ: ต้องใช้ความอดทนสูง อาจเจอ Drawdown รุนแรง และต้องมีทุนเพียงพอเพื่อรองรับความผันผวนของตลาด
ระบบเทรดตัวนี้เลียนแบบการเคลื่อนตัวของกิ้งกือคือเปิดออเดอร์เป็นระยะ ๆ แต่ถือยาวแบบ Position ระบบ Building an equity millipede นี้ เป็นระบบเทรดที่ให้ผลตอบแทนดีมาก เพียงแต่ใครที่อยากจะใช้ระบบเทรดตัวนี้ ต้องมีความอดทนรอนานหน่อย นักเทรดสายซิ่งคงต้องทำใจ มาดูกันว่ามีวิธีใช้งานระบบเทรดตัวนี้อย่างไรบ้าง
ข้อมูลเบื้องต้น
ระบบเทรด Building an equity millipede มีกลยุทธ์การเทรดด้วยการเปิดออเดอร์เป็นระยะในทิศทางเดียวกันแล้วก็ถือออเดอร์นั้นยาว ๆ เป้าหมายหลักของการเทรดแบบนี้คือการจับแนวโน้มใหญ่ของตลาด และทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาว เป็นการเทรดแบบ Position Trading นั่นเอง
หลักการของ Position Trading
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)
เทรดเดอร์สายนี้มักใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เช่น อัตราดอกเบี้ย ตัวเลขเศรษฐกิจ นโยบายการเงินของธนาคารกลาง หรือแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนราคาของสกุลเงินในระยะยาว
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานจะเป็นหัวใจสำคัญ แต่เทรดเดอร์แบบ Position ก็ยังใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อหาจุดเข้าออก เช่น เส้นแนวรับแนวต้าน เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ รูปแบบกราฟแท่งเทียน รวมถึงอินดิเคเตอร์ที่ช่วยยืนยันแนวโน้ม
- การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
เนื่องจากเป็นการถือออเดอร์ในระยะยาว ขนาดของ Stop Loss และ Take Profit มักจะกว้างกว่าการเทรดแบบอื่น ๆ จึงต้องมีการคำนวณขนาดล็อต (Position Sizing) ให้เหมาะสมเพื่อให้พอร์ตทนแรงแกว่งของราคาได้
- ความอดทนและวินัย
Position Trading ต้องใช้ความอดทนสูง เพราะอาจต้องรอเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนกว่าราคาจะไปถึงเป้าหมาย การจัดการอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

Trend คือป้ายชี้ทางชั้นดี
การวิเคราห์ราคาสกุลเงินสิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับตลาดฟอเร็กซ์คือแนวโน้ม ซึ่งแนวโน้มรายเดือนคือแนวโน้มหลัก โดยใช้ดูการเคลื่อนไหวในช่วง 1-3 ปีล่าสุด
วิธีการดูแนวโน้มหลัก (Trend)
การใช้เส้น EMA บนกรอบเวลารายเดือนช่วยให้เราจับแนวโน้มหลักของตลาดได้ดี วิธีการดูแนวโน้มหลักมีดังนี้
- EMA 5 และ EMA 10 ใช้เป็นตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มระยะกลาง (Short-term Trend)
- EMA 200 ใช้เป็นตัวกำหนด แนวโน้มหลัก (Long-term Trend)
การใช้ EMA 200 เป็นแนวรับ-แนวต้าน
- ถ้าราคาปิดเหนือ EMA 200 มองว่าตลาดยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
- ถ้าราคาปิดต่ำกว่า EMA 200 มองว่าตลาดเปลี่ยนเป็นขาลง
- ถ้าราคาเข้าใกล้ EMA 200 แต่ไม่สามารถทะลุผ่านได้อาจเป็นแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ

การใช้ แนวรับ/แนวต้าน ให้ได้ผลดีที่สุด
แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นพื้นฐานสำคัญของการเทรดที่ช่วยให้เราระบุโซนราคาที่มีโอกาสกลับตัวหรือทะลุผ่านได้ วิธีการระบุ S/R ที่มีประสิทธิภาพ มีดังนี้
1. ใช้กรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น
- แนวรับ/แนวต้านจาก กราฟรายวัน (D1), รายสัปดาห์ (W1), และรายเดือน (M1) มีความแข็งแกร่งกว่ากรอบเวลาเล็ก
- หากพบแนวรับ/แนวต้านในกราฟ Monthly หรือ Weekly ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
2. หาโซนมากกว่าระดับราคาเดียว
- ไม่ควรกำหนดแนวรับ/แนวต้านเป็น “เส้นเดียว” แต่ควรมองเป็น “โซน”
- ใช้ Swing High / Swing Low ในอดีตมาช่วยระบุ
3. สังเกตราคาที่เคยทดสอบหลายครั้ง
- แนวรับ/แนวต้านที่ราคาทดสอบหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทะลุได้ เป็นแนวที่แข็งแกร่ง
- ถ้าราคาทะลุไปได้ จากแนวรับก็จะกลายเป็นแนวต้าน (Support Turn Resistance – STR) และแนวต้านกลายเป็นแนวรับ (Resistance Turn Support – RTS)
4. ใช้ Fibonacci ช่วยยืนยัน
- แนวรับ/แนวต้านที่อยู่ใกล้กับระดับ Fibonacci Retracement (เช่น 38.2%, 50%, 61.8%) มีโอกาสเป็นโซนสำคัญ

วิธีการใช้งาน S/R อย่างมีประสิทธิภาพ
- การใช้เพื่อเข้าออเดอร์ (Reversal Entry): Buy ที่แนวรับ / Sell ที่แนวต้าน รอให้ราคาแตะโซนแนวรับ/แนวต้าน แล้วดูสัญญาณกลับตัว เช่น Pin Bar, Engulfing
- การวาง Stop Loss: ให้อยู่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าโซนแนวรับ/แนวต้าน ถ้า Buy ที่แนวรับให้วาง SL ใต้แนวรับเล็กน้อย ถ้า Sell ที่แนวต้าน ให้วาง SL เหนือแนวต้านเล็กน้อย
ราคากลับมาทดสอบเพื่อยืนยันก่อนดีที่สุด
- ถ้าราคาเบรกแนวต้านขึ้นไปได้ ให้รอราคากลับลงมายืนยันแนวต้านเดิมที่กลายเป็นแนวรับก่อนเข้า Buy
- ถ้าราคาเบรกแนวรับลงไป ให้รอราคากลับมายืนยันแนวรับเดิมที่กลายเป็นแนวต้านก่อนเข้า Sell
แนวรับ/แนวต้าน ที่แข็งแกร่ง
การพิจารณาว่าแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งเป็นแบบไหนก็คือยิ่งมีองค์ประกอบสนับสนุนมาก ยิ่งน่าเชื่อถือมาก ดังนี้
- แนวรับ/แนวต้านที่ตรงกับ Fibonacci Retracement
- แนวรับ/แนวต้านที่ตรงกับ EMA 200
- แนวรับ/แนวต้านที่มีแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar, Engulfing, Morning Star
- แนวรับ/แนวต้านที่เคยถูกทดสอบหลายครั้งในอดีต
การ Breakout ที่น่าเชื่อถือ
หากเราสามารถแยกแยะได้ว่าการ Breakout นั้น “จริง” หรือ “หลอก” จะช่วยให้เราเข้าเทรดได้แม่นยำขึ้นและลดความเสี่ยงจากสัญญาณผิดพลาดได้ หลักในการพิจารณามีดังนี้

1. เงื่อนไขของการ Breakout ที่น่าเชื่อถือ
- ต้องมีแท่งเทียนปิดยืนยัน (Strong Candle Close):
-
- ราคาต้องทะลุแนวรับ/แนวต้านไปและ “ปิดแท่งเทียน” นอกโซนนั้น
- แท่งเทียนต้องมีลำตัวใหญ่ ไม่มีไส้เทียนยาวเกินไป (หลีกเลี่ยงแท่ง Doji หรือ Pin Bar ที่อาจเป็น False Breakout)
- ต้องมี Volume สนับสนุน (High Volume Confirmation):
-
- หาก Breakout จริง Volume ควรเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงก่อนหน้า
- ถ้าไม่มี Volume หรือมี Volume ต่ำ อาจเป็น False Breakout
- ต้อง Breakout โซนที่แข็งแกร่ง (Key Level Breakout):
-
- แนวรับ/แนวต้านที่มีการทดสอบหลายครั้ง เมื่อทะลุไปแล้วจะมีโอกาสวิ่งต่อสูง
- ถ้าเป็นแนวรับ/แนวต้านสำคัญจาก Timeframe ใหญ่ (D1, W1, M1) มีโอกาสที่การ Breakout จะไปได้ไกลกว่า
- ต้องมี Retest ก่อนวิ่งไปต่อ (Break & Retest Confirmation):
-
- หลังจากทะลุแนวรับ/แนวต้านไปแล้ว ราคาควรกลับมาทดสอบแนวที่ทะลุไปอีกครั้ง
- ถ้าทดสอบแล้วไม่สามารถกลับเข้าไปในโซนเดิมได้ เป็นสัญญาณยืนยันว่าเป็น Breakout จริง
- ถ้ากลับเข้าไปได้ง่าย อาจเป็น False Breakout
- ทิศทางของแนวโน้มต้องสอดคล้องกัน (Trend Confirmation):
-
- ถ้าแนวโน้มเป็นขาขึ้น แล้วราคาทะลุแนวต้านขึ้น มีโอกาสเป็น Breakout จริง
- ถ้าแนวโน้มเป็นขาลง แล้วราคาทะลุแนวรับลง มีโอกาสเป็น Breakout จริง
- หากราคาทะลุสวนแนวโน้มหลัก ควรระวังว่าอาจเป็น False Breakout

2. สัญญาณที่บ่งบอกว่าเป็น False Breakout
- ไส้เทียนยาวผิดปกติ (Long Wick Rejection):
-
- ถ้าราคา Breakout ไปแล้วแต่มีไส้เทียนยาวมาก แล้วปิดกลับเข้ามาในโซนเดิม อาจเป็น False Breakout
- ไม่มี Volume สนับสนุน (Low Volume Breakout):
-
- ถ้าราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านไปแล้ว แต่ไม่มี Volume สูงกว่าปกติ อาจเป็น False Breakout
- Smart Money หรือสถาบันใหญ่จะต้องใช้ Volume สูงในการผลักดันราคา
- Breakout โดยแท่งเทียนขนาดเล็ก (Weak Candle Breakout):
-
- ถ้าการ Breakout เกิดขึ้นด้วยแท่งเทียนเล็กมาก หรือมีไส้เทียนมากมักจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะไปต่อ
- ราคากลับเข้าโซนเดิมอย่างรวดเร็ว (Fakeout & Reversal):
-
- หากราคาทะลุแนวรับ/แนวต้านไป แต่ไม่นานก็กลับเข้ามา และปิดแท่งในโซนเดิมเป็น False Breakout

3. วิธีการเทรด Breakout ที่มีประสิทธิภาพ
วิธีที่ 1: เข้าเทรดทันทีหลังจาก Breakout และปิดแท่ง
- ใช้ได้เมื่อแท่งเทียนที่ทะลุมีขนาดใหญ่ พร้อมกับมี Volume สูง
- ตั้ง Stop Loss ใต้แนวต้าน (ถ้า Buy) หรือเหนือแนวรับ (ถ้า Sell)
วิธีที่ 2: รอให้ราคากลับมาทดสอบแนวรับ/แนวต้านที่ Breakout ไปแล้ว (Break & Retest)
- วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจาก False Breakout
- ตั้ง Stop Loss ใต้แนวรับเดิม (กรณี Buy) หรือเหนือแนวต้านเดิม (กรณี Sell)
เงื่อนไขการเทรด
เงื่อนไขการเข้าเทรด (Entry Conditions) ใช้หลักการจับแนวโน้มใหญ่และเปิดออเดอร์เป็นระยะ โดยใช้เงื่อนไขดังนี้

เงื่อนไขการเข้า Buy:
- แนวโน้มเป็นขาขึ้น (Bullish Trend)
-
- ราคาอยู่เหนือ EMA 200 (แนวโน้มใหญ่เป็นขาขึ้น)
- EMA 5 ตัดขึ้นเหนือ EMA 10 (แนวโน้มระยะสั้นเป็นขาขึ้น)
- แนวรับที่แข็งแกร่ง (Strong Support)
-
- ราคาปรับฐานลงมาใกล้แนวรับหลัก เช่น แนวรับจากกราฟ W1/M1, Fibonacci Retracement 38.2%-61.8%
- สังเกตแท่งเทียนกลับตัว เช่น Bullish Engulfing, Pin Bar, Morning Star
- Breakout แนวต้านสำคัญ
-
- ราคาปิดแท่งเหนือแนวต้านที่แข็งแกร่ง พร้อม Volume สูง
- รอให้ราคากลับมายืนยันแนวต้านเดิมที่กลายเป็นแนวรับ ก่อนเข้า Buy
- Stop Loss & Take Profit
-
- Stop Loss (SL): ใต้แนวรับหลักเล็กน้อย (เพื่อป้องกัน False Breakout)
- Take Profit (TP): ปล่อยรันเทรนด์ ใช้ Trailing Stop ตาม EMA หรือระดับแนวต้านถัดไป

เงื่อนไขการเข้า Sell:
- แนวโน้มเป็นขาลง (Bearish Trend)
-
- ราคาอยู่ต่ำกว่า EMA 200 (แนวโน้มใหญ่เป็นขาลง)
- EMA 5 ตัดลงต่ำกว่า EMA 10 (แนวโน้มระยะสั้นเป็นขาลง)
- แนวต้านที่แข็งแกร่ง (Strong Resistance)
-
- ราคาปรับตัวขึ้นมาชนแนวต้านหลัก เช่น แนวต้านจากกราฟ W1/M1, Fibonacci Retracement 38.2%-61.8%
- สังเกตแท่งเทียนกลับตัว เช่น Bearish Engulfing, Shooting Star, Evening Star
- Breakout แนวรับสำคัญ
-
- ราคาปิดแท่งต่ำกว่าแนวรับหลัก พร้อม Volume สูง
- รอให้ราคากลับมายืนยันแนวรับเดิมที่กลายเป็นแนวต้าน ก่อนเข้า Sell
- Stop Loss & Take Profit
-
- Stop Loss (SL): เหนือแนวต้านหลักเล็กน้อย
- Take Profit (TP): ปล่อยรันเทรนด์ ใช้ Trailing Stop ตาม EMA หรือระดับแนวรับถัดไป
จุดอ่อนของระบบ
- ต้องใช้ความอดทนสูง: การถือออเดอร์ระยะยาว กำไรต้องใช้เวลาสะสม อาจต้องรอนานเป็นเดือนหรือปี
- ต้องใช้เงินลงทุนสูง: จำเป็นต้องมี Stop Loss กว้าง ทำให้ต้องลดขนาดออเดอร์ เทรดเดอร์ที่มีทุนน้อยอาจไม่เหมาะ
- แนวโน้มใหญ่เปลี่ยนแปลงได้: ปัจจัยเศรษฐกิจ เช่น ดอกเบี้ยหรือวิกฤติ อาจทำให้แนวโน้มเปลี่ยนและพอร์ตเสียหาย
- วินัยและการจัดการอารมณ์สำคัญมาก: เทรดเดอร์ต้องมีความมั่นใจและไม่ปิดออเดอร์ก่อนเวลาเพราะความกลัวหรือความโลภ

สรุป
ระบบ Building an Equity Millipede เป็นกลยุทธ์ที่ใช้จับเทรนด์ใหญ่และสามารถทำกำไรได้มากหากใช้อย่างถูกต้อง แต่ต้องอาศัยความอดทนสูง, การบริหารความเสี่ยงที่ดี และวินัยในการเทรด ไม่เช่นนั้นอาจทำให้พลาดโอกาสทำกำไรจากแนวโน้มหลักของตลาด
การมองภาพใหญ่ของตลาดแล้วเข้าเทรดในตำแหน่งที่ดี ถือออเดอร์ยาว ๆ โดยปล่อยให้ตลาดวิ่งไปตามแนวโน้มหลักนั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เมื่อถึงเป้าหมายที่พอใจแล้วก็ปิดทำกำไร การเทรดแบบนี้ก็ดีนะครับ ไม่ต้องเสียเวลากับการเฝ้ากราฟราคาเลย
ทีมงาน: forexthai.in.th