Forexthai.in.th ย่อให้
- พื้นฐานของรูปแบบ 123 Patterns: ใช้การระบุจุดกลับตัวของแนวโน้ม โดยอิงจากจุดที่ 1 (จุดเริ่มต้น), จุดที่ 2 (จุดกลับตัวชั่วคราว), และจุดที่ 3 (จุดยืนยันการกลับตัว)
- สัญญาณการเข้าเทรด: การยืนยันรูปแบบเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านจุดที่ 2 โดยมีการตั้งคำสั่งซื้อหรือขายตามทิศทาง พร้อมตั้งจุด Stop Loss ใกล้จุดที่ 3 เพื่อลดความเสี่ยง
- เครื่องมือที่ใช้: ZigZag ช่วยระบุจุด 1, 2, และ 3, เส้น 200MA ใช้ระบุแนวโน้มใหญ่, Fibonacci ช่วยหาโซนย่อตัวและเป้าหมายการทำกำไร, CCI ช่วยวัดภาวะ Overbought และ Oversold
- สภาวะตลาดที่เหมาะสม: ตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market) ทั้งขาขึ้นและขาลง
- จุดอ่อนของระบบ: ตลาด Sideway จะเกิดสัญญาณหลอกบ่อย
ระบบเทรดจุดกลับตัว 123 Patterns ในการวิเคราะห์ราคา นับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้งานได้จริงในตลาด Forex นักเทรดที่สามารถระบุใช้งานรูปแบบนี้ได้อย่างถูกต้องจะมีโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้นและลดความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว ที่สำคัญคือเรียนรู้และนำไปใช้ได้ไม่ยาก ไปทำความรู้จักกันเลยครับ
ข้อมูลเบื้องต้น
รูปแบบ 123 Patterns ที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาในตลาด Forex โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการหาจุดกลับตัวของแนวโน้ม (Trend Reversal) รูปแบบนี้มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีของการเคลื่อนไหวของราคาแบบ Swing High และ Swing Low ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในแนวโน้มขาขึ้นและขาลง การเข้าใจและระบุรูปแบบนี้ได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าซื้อหรือขายได้ในจังหวะที่เหมาะสม

หลักการของรูปแบบ 123 Patterns
- จุดที่ 1: จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งอาจเป็นจุดสูงสุด (High) ในกรณีที่แนวโน้มเป็นขาลง หรือจุดต่ำสุด (Low) ในกรณีที่แนวโน้มเป็นขาขึ้น
- จุดที่ 2: จุดสิ้นสุดของการเคลื่อนไหวแรกและเป็นจุดกลับตัวชั่วคราว ซึ่งสร้าง Swing Low ในกรณีแนวโน้มขาลง หรือ Swing High ในกรณีแนวโน้มขาขึ้น
- จุดที่ 3: จุดที่ราคากลับขึ้นมาทดสอบ แต่ไม่สามารถทำ New High (ในแนวโน้มขาลง) หรือ New Low (ในแนวโน้มขาขึ้น) ได้ และถือเป็นสัญญาณยืนยันว่ารูปแบบ 123 กำลังเกิดขึ้น
การยืนยันรูปแบบและสัญญาณการเข้าเทรด
- เมื่อตำแหน่งของจุดที่ 3 ถูกสร้างขึ้น นักเทรดจะรอให้ราคาทะลุผ่านจุดที่ 2 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าแนวโน้มกำลังกลับตัว
- หากราคาสามารถทะลุผ่านจุดที่ 2 ได้ จะเป็นสัญญาณในการเข้าเทรด โดยการตั้งคำสั่งซื้อหรือขายตามทิศทางที่เกิดขึ้น
- การตั้งจุด Stop Loss มักจะทำใกล้กับจุดที่ 3 เพื่อจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคากลับตัวผิดทาง
ข้อดีของรูปแบบ 123 Patterns
- เป็นรูปแบบที่ง่ายต่อการระบุและใช้งาน เหมาะกับเทรดเดอร์ทุกระดับ
- ช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มได้ชัดเจนขึ้น
- สามารถใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น Moving Average หรือ MACD เพื่อเพิ่มความแม่นยำได้
เครื่องมือที่ใช้
การใช้รูปแบบ 123 Patterns เพียงอย่างเดียวอาจให้สัญญาณที่น่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและความมั่นใจในการตัดสินใจเข้าและออกจากการเทรดได้ดียิ่งขึ้น

ZigZag Indicator
เป็นเครื่องมือที่ช่วยแสดงจุด Swing High และ Swing Low ได้ชัดเจนขึ้น
- เมื่อนำ ZigZag มาประยุกต์ใช้กับ 123Patterns จะช่วยให้นักเทรดสามารถระบุจุดที่ 1, 2 และ 3 ได้ง่ายขึ้น โดยให้ดูจากการพลิกกลับของเส้น ZigZag
- เมื่อเส้น ZigZag ยืนยันจุดที่ 3 และราคาทะลุผ่านจุดที่ 2 จะเป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัวของแนวโน้ม และเป็นจังหวะเข้าเทรดที่ดี
200MA
เป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มระยะยาวที่สำคัญ มักใช้เพื่อระบุทิศทางหลักของตลาด
- หากราคาปิดเหนือ 200MA แนวโน้มใหญ่ยังคงเป็นขาขึ้น
- หากราคาปิดต่ำกว่า 200MA แนวโน้มใหญ่เป็นขาลง
- เมื่อใช้ร่วมกับ 123Patterns
- หากมีรูปแบบ 123 กลับตัวขึ้นเหนือ 200MA จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณซื้อ
- หากมีรูปแบบ 123 กลับตัวลงใต้ 200MA จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณขาย
- 200MA ยังสามารถใช้เป็นแนวรับ-แนวต้านสำคัญในการตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit ได้ด้วย

Fibonacci Retracement
เป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุระดับการย่อตัวของราคาและโซนเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
- วิธีใช้ร่วมกับ 123Patterns
- วัด Fibonacci จากจุดที่ 1 ไปยังจุดที่ 2 ของรูปแบบ 123
- ระดับที่สำคัญคือ 38.2%, 50%, และ 61.8% ซึ่งมักจะเป็นแนวรับหรือแนวต้านตามธรรมชาติ
- หากราคาเกิดการกลับตัวบริเวณเหล่านี้และยืนยันรูปแบบ 123 จะเป็นสัญญาณเข้าที่แข็งแกร่ง
- โซนเป้าหมายในการทำกำไร
- 100% และ 161.8% มักใช้เป็นเป้าหมายแรกและเป้าหมายถัดไป
- การตั้ง Take Profit สามารถทำได้โดยการใช้ระดับ Fibonacci Extension ควบคู่ไปด้วย

CCI (Commodity Channel Index)
ใช้เพื่อช่วยวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มและภาวะซื้อมาก-ขายมาก
- ค่ามากกว่า +100 แสดงถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และมีโอกาสปรับลง
- ค่าน้อยกว่า -100 แสดงถึงภาวะขายมากเกินไป (Oversold) และมีโอกาสปรับขึ้น
- วิธีใช้ร่วมกับ 123Patterns
- เกิดรูปแบบ 123 กลับตัวขึ้น หาก CCI(14) อยู่ต่ำกว่า -100 และเริ่มตัดขึ้น จะเป็นสัญญาณซื้อที่น่าเชื่อถือ
- เมื่อเกิดรูปแบบ 123 กลับตัวลง หาก CCI(14) อยู่เหนือ +100 และเริ่มตัดลง จะเป็นสัญญาณขายที่น่าเชื่อถือ
- CCI ยังช่วยยืนยันแรงส่ง (Momentum) ของราคา หาก CCI เคลื่อนตัวในทิศทางเดียวกับรูปแบบ 123 จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น

วิธีการใช้ Indicator ร่วมกัน
- ใช้ ZigZag ในการระบุจุด 1, 2, และ 3 ของรูปแบบ 123Patterns
- ใช้ 200MA ในการยืนยันแนวโน้มใหญ่และระบุ แนวรับ-แนวต้าน
- ใช้ Fibonacci ในการหาจุดย่อและโซนเป้าหมายในการทำกำไร
- ใช้ CCI(14) ในการวัดภาวะ Overbought และ Oversold รวมถึงยืนยัน Momentum ของราคา
- การเข้าเทรดควรพิจารณาสัญญาณจากทั้ง 4 เครื่องมือร่วมกัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยง
เงื่อนไขในการเข้าเทรด (Entry Conditions)
ในการกรองสัญญาณหลอกและหาจุดเข้าออกที่แม่นยำขึ้น ซึ่งเงื่อนไขการเข้าและออกจากการเทรดทั้งฝั่ง Buy และ Sell มีดังนี้

เงื่อนไขการเข้า Buy
- ราคาต้องอยู่เหนือเส้น 200MA เพื่อยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
- เกิดรูปแบบ 123 Bottom ตามขั้นตอนนี้:
- จุดที่ 1: จุดต่ำสุดใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง
- จุดที่ 2: การดีดตัวขึ้นทำจุดสูงกว่าเล็กน้อย (Higher High) แต่ยังไม่ทะลุแนวต้านสำคัญ
- จุดที่ 3: ราคาย่อตัวลงแต่ไม่ต่ำกว่าจุดที่ 1 (Higher Low)
- ใช้ CCI(14): ค่าต้อง > 0 และมีลักษณะ Breakout ขึ้นจากระดับ -100 เพื่อยืนยันแรงซื้อ
- ZigZag Depth 12: แสดงการย่อตัวที่ชัดเจนโดยไม่เกิดเส้นใหม่ระหว่างจุดที่ 2 และ 3
- Fibonacci Retracement: ราคาย่อตัวมาที่โซน 38.2% – 61.8% จากจุดที่ 1 ถึงจุดที่ 2
- จุดเข้า (Entry):
- ตั้ง Buy Stop เหนือจุดที่ 2 ประมาณ 5-10 pips
- จุด Stop Loss:
- ตั้งไว้ต่ำกว่าจุดที่ 1 ประมาณ 10-20 pips หรือที่แนวรับสำคัญ
- จุด Take Profit:
- ใช้ Fibonacci Extension ที่ระดับ 127.2% หรือ 161.8% เป็นเป้าหมายกำไร
- หรือใช้ 200MA เป็นแนวต้านทางจิตวิทยาในการปิดออเดอร์

เงื่อนไขการเข้า Sell
- ราคาต้องอยู่ต่ำกว่าเส้น 200MA เพื่อยืนยันแนวโน้มขาลง
- เกิดรูปแบบ 123 Top ตามขั้นตอนนี้:
- จุดที่ 1: จุดสูงสุดใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น
- จุดที่ 2: การย่อตัวลงทำจุดต่ำกว่าเล็กน้อย (Lower Low) แต่ยังไม่ทะลุแนวรับสำคัญ
- จุดที่ 3: ราคาดีดขึ้นแต่ไม่สูงกว่าจุดที่ 1 (Lower High)
- ใช้ CCI(14): ค่าต้อง < 0 และมีลักษณะ Breakout ลงจากระดับ +100 เพื่อยืนยันแรงขาย
- ZigZag Depth 12: แสดงการดีดขึ้นที่ชัดเจนโดยไม่เกิดเส้นใหม่ระหว่างจุดที่ 2 และ 3
- Fibonacci Retracement: ราคาดีดขึ้นมาที่โซน 38.2% – 61.8% จากจุดที่ 1 ถึงจุดที่ 2
- จุดเข้า (Entry):
- ตั้ง Sell Stop ต่ำกว่าจุดที่ 2 ประมาณ 5-10 pips
- จุด Stop Loss:
- ตั้งไว้สูงกว่าจุดที่ 1 ประมาณ 10-20 pips หรือที่แนวต้านสำคัญ
- จุด Take Profit:
- ใช้ Fibonacci Extension ที่ระดับ 127.2% หรือ 161.8% เป็นเป้าหมายกำไร
- หรือใช้ 200MA เป็นแนวรับทางจิตวิทยาในการปิดออเดอร์
สภาวะตลาดที่เหมาะกับ ระบบเทรดจุดกลับตัว 123 Patterns
ระบบเทรดตัวนี้จะทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market) โดยเฉพาะการจับจังหวะจุดกลับตัวของแนวโน้ม (Trend Reversal) หรือการย่อตัวเพื่อไปต่อ (Pullback/Correction) สภาวะตลาดที่เหมาะสมและวิธีใช้งานระบบเทรดตัวนี้อย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้

ตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend Market)
ลักษณะของตลาด:
- เป็นสภาวะที่ราคาทำ Higher Highs (HH) และ Higher Lows (HL) อย่างต่อเนื่อง
- มีแรงซื้อที่แข็งแกร่งและการย่อตัวมักจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพิ่ม
การใช้ 123Patterns:
- ค้นหารูปแบบ 123 Bottom เพื่อระบุจุดกลับตัวขึ้นใหม่หลังจากการย่อตัว (Pullback)
- ใช้ร่วมกับ 200MA เพื่อยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
- ตั้งจุด Entry เมื่อราคาทะลุจุดที่ 2 ของรูปแบบ 123 และตั้ง Stop Loss ใต้จุดที่ 3
ข้อดี:
- สัญญาณที่เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้นมักจะแข็งแกร่งและมีโอกาสทำกำไรได้สูง

ตลาดที่มีแนวโน้มขาลง (Downtrend Market)
ลักษณะของตลาด:
- เป็นสภาวะที่ราคาทำ Lower Lows (LL) และ Lower Highs (LH) อย่างต่อเนื่อง
- แรงขายมีความแข็งแกร่งและการรีบาวด์มักจะเป็นโอกาสในการเข้าขายเพิ่ม
การใช้ 123Patterns:
- มองหารูปแบบ 123 Top เพื่อระบุจุดกลับตัวลงหลังจากการรีบาวด์ (Pullback)
- ใช้ร่วมกับ Fibonacci Retracement เพื่อระบุโซนที่ราคาอาจจะย่อตัวแล้วไปต่อ
- ตั้งจุด Entry เมื่อราคาทะลุจุดที่ 2 ของรูปแบบ 123 และตั้ง Stop Loss เหนือจุดที่ 3
ข้อดี:
- ช่วยให้สามารถทำกำไรในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มขาลงได้ดี

สภาวะตลาดที่ไม่เหมาะกับ 123 Patterns
- ตลาดไม่มีแนวโน้ม (Sideway):
-
เกิดสัญญาณหลอก (False Signal) บ่อยและไม่สามารถระบุจุดกลับตัวที่แข็งแกร่งได้
-
- ตลาดผันผวนสูง (High Volatility):
- ช่วงที่มีข่าวสำคัญ เช่น NFP, FOMC ทำให้เกิดการเบรคหลอกบ่อยครั้ง
จุดอ่อนของระบบ
ข้อจำกัดที่นักเทรดควรระวังเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจเทรดด้วยระบบ 123 Analysis มีดังนี้
- ข้อจำกัดในสภาวะตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม (Sideway Market)
- ในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแบบ Sideway หรือผันผวนในกรอบแคบ (Choppy Market) มักจะเกิดรูปแบบ 123 ขึ้นบ่อยครั้งแต่ไม่มีความแข็งแรง ทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signal) มาก
- ไม่รองรับตลาดที่มีความผันผวนสูง (High Volatility)
- ในช่วงที่มีข่าวสำคัญ (เช่น NFP, FOMC) หรือช่วงตลาดเปิด-ปิด ราคาอาจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและผันผวนสูง รูปแบบ 123 มักจะทำงานได้ไม่ดีในช่วงนี้ เพราะเกิดการเบรคหลอก (False Breakout) บ่อยครั้ง
- ต้องรอสัญญาณยืนยัน ทำให้เกิดความล่าช้า (Lagging Signal)
- สัญญาณซื้อหรือขายจะถูกยืนยันเมื่อราคาทะลุผ่านจุดที่ 2 ของรูปแบบ 123 ซึ่งเป็นการรอให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนก่อน

สรุป
ระบบเทรดจุดกลับตัว 123 Patterns เป็นวิธีวิเคราะห์ราคาที่มีประสิทธิภาพในตลาด Forex โดยมุ่งเน้นการระบุจุดกลับตัวของแนวโน้มผ่านจุดสำคัญสามจุด เมื่อตำแหน่งของจุดที่ 3 ถูกสร้างขึ้น นักเทรดจะรอให้ราคาทะลุผ่านจุดที่ 2 เพื่อยืนยันแนวโน้มการกลับตัว
การเทรดตามระบบนี้จะมีประสิทธิภาพสูงในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เช่น ตลาดขาขึ้นและขาลง แต่ไม่เหมาะกับตลาด Sideway หรือช่วงที่มีความผันผวนสูง ข้อดีของระบบนี้คือสามารถระบุจุดกลับตัวได้ชัดเจน ใช้งานง่ายและยืดหยุ่นกับกลยุทธ์การเทรดหลายแบบ
ในขณะที่ข้อจำกัดสำคัญคือสัญญาณหลอกที่อาจเกิดขึ้นในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจนหรือมีความผันผวนสูง ทำให้การเทรดต้องใช้ความระมัดระวังและควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ ในการยืนยันสัญญาณเข้าออกจากการเทรดด้วย
ทีมงาน: forexthai.in.th